omniture

Stimvia ศึกษานำร่องแล้วเสร็จ พร้อมประกาศผลลัพธ์เบื้องต้นที่มีแววดี หวังเป็นการรักษาเสริมที่มีศักยภาพสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

Stimvia
2024-06-08 10:00 28

ปราก, 7 มิถุนายน 2567 /PRNewswire/ -- Stimvia บริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ระดับบุกเบิกที่เชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบประสาทเพื่อรักษาโรคเรื้อรัง ประสบความสำเร็จในการศึกษานำร่องที่เน้นเรื่องโรคพาร์กินสัน (PD) และคาดว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

The URIS® device operates on a principle of electrical transcutaneous nerve modulation (eTNM®).
The URIS® device operates on a principle of electrical transcutaneous nerve modulation (eTNM®).

 

ศ.ดร.นพ. David Skoloudik, FESO, FEAN, หัวหน้าการศึกษาวิจัยและรองคณบดีฝ่ายวิทยาศาสตร์และการวิจัยประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Ostrava University กล่าวว่า "เรามีความยินดีในการแบ่งปันข้อค้นพบเบื้องต้นซึ่งบ่งชี้ผลลัพธ์ที่มีแววดี โดยผู้ป่วยรายงานว่าอาการของโรคพาร์กินสันและคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น นอกจากนี้ เรายังสังเกตเห็นว่าอาการสั่นขณะอยู่นิ่งลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ข้อมูลที่แม่นยำยังต้องรอประเมินให้เข้มงวดต่อไป แต่เรายังคงมีความมั่นใจแต่ขณะเดียวกันก็ยังมีความระมัดระวังเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผลลัพธ์เหล่านี้"

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 12 รายที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกได้เข้าร่วมการศึกษานี้ โดยผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ URIS® เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นวันละ 30 นาที และเมื่อพ้นระยะนี้ไปแล้ว ผู้ป่วยก็อยู่ต่ออีก 6 สัปดาห์โดยไม่มีการกระตุ้น ในระหว่างนั้นพวกเขายังคงได้รับการตรวจสอบเพื่อประเมินว่ามีผลบวกใด ๆ คงอยู่หลังจากการรักษาสิ้นสุดลงหรือไม่

Lukas Doskocil ซีอีโอของ Stimvia กล่าวว่า "เนื่องจากเทคโนโลยี URIS® แสดงให้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกในการรักษาโรคพาร์กินสัน Stimvia จึงมีแผนลงทุนจำนวนมากในการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวิธีการดังกล่าว เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของเราจะนำเสนอวิธีการรักษาเสริมแบบใหม่ ๆ ให้ผู้ป่วยหลายล้านคนที่ปัจจุบันไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งอาจเข้ามามอบผลกระทบเชิงบวกในการปรับเปลี่ยนโรคกับผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสันได้"

บริษัทฯ ตั้งเป้านำเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจำนวนมากในอนาคตอันใกล้ โดยในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว มีคนประมาณ 1 ล้านคนได้รับผลกระทบจากภาวะเหล่านี้ จากผู้ป่วยมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก โรคพาร์กินสันจัดเป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองมาจากโรคอัลไซเมอร์

ข้อมูลทั้งหมดจากการศึกษานำร่องนี้จะประกาศให้ทราบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เกี่ยวกับ Stimvia และเทคโนโลยี URIS®

Stimvia เป็นบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ผู้บุกเบิกทางคลินิก โดยมุ่งพัฒนาและจำหน่ายนวัตกรรมการรักษาโรคเรื้อรังแบบไม่ต้องผ่าตัด Stimvia ทุ่มเทวิจัยมานานหลายปีและศึกษาทางคลินิกหลายโครงการ โดยได้พัฒนาเทคโนโลยีพิเศษอย่าง URIS® ซึ่งใช้เทคนิคปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบประสาทพีโรเนียล (eTNM®) แนวทางอันบุกเบิกนี้นับเป็นเทคนิคแบบไม่รุกรานครั้งแรกในการกระตุ้นโครงสร้างสมองส่วนลึก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโรคเรื้อรังหลายชนิด ขณะที่การศึกษาทางคลินิกในปัจจุบันเผยให้เห็นว่า เทคโนโลยีของ Stimvia มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับต้น ๆ ในการรักษาภาวะต่าง ๆ เช่น ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนประมาณ 40 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา

องค์ประกอบทางเทคโนโลยีและแนวทางหลักของบริษัทฯ มีสิทธิบัตรระดับโลกคุ้มครองมากกว่า 100 ฉบับทั่วสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Stimvia ยังได้รับการรับรองอันทรงเกียรติจากสถาบันเยอรมนีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกอย่าง TÜV SÜD

รูปภาพ: https://mma.prnasia.com/media2/2432205/Stimvia_URIS.jpg?p=medium600
โลโก้: https://mma.prnasia.com/media2/2036393/3946833/Stimvia_Logo.jpg?p=medium600

 

Source: Stimvia
Keywords: Health Care/Hospital Medical Equipment Medical/Pharmaceuticals Clinical Trials/Medical Discoveries Handicapped/Disabled
Related News