omniture

นักโบราณคดีขุดค้นพบเมืองยุคสำริดในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอาระเบีย และเป็นการค้นพบครั้งแรกของภูมิภาคนี้

The Royal Commission for AlUla (RCU)
2024-11-02 21:55 54
  • ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจากวิถีชีวิตเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อนไปสู่การตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนเมืองในระยะเริ่มต้น 

อัลอูลา, ซาอุดีอาระเบีย, 2 พฤศจิกายน 2567 /PRNewswire/ --  การวิจัยทางโบราณคดีครั้งใหม่ได้เผยให้เห็นเมืองยุคสำริด (Bronze Age) ครั้งสำคัญในโอเอซิสคัยบาร์ (Khaybar) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาระเบีย ซึ่งยืนยันให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นการตั้งถิ่นฐานในเมืองในช่วงครึ่งหลังของสหัสวรรษที่สามก่อนคริสต์ศักราช

A 3D virtual reconstruction of the Bronze Age town of al-Natah, based on newly published archaeological evidence. Khaybar LDAP (CNRS-AFALULA-RCU)
A 3D virtual reconstruction of the Bronze Age town of al-Natah, based on newly published archaeological evidence. Khaybar LDAP (CNRS-AFALULA-RCU)

การค้นพบนี้บ่งบอกว่าโอเอซิสอย่างเช่นคัยบาร์เป็นภูมิประเทศที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อเกิดการทำเกษตรกรรมขึ้น โอเอซิสเหล่านี้ก็สามารถรองรับประชากรผู้อาศัยแบบถาวร และกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับการแลกเปลี่ยนและติดต่อปฏิสัมพันธ์กับชุมชนที่เร่ร่อน การเกิดขึ้นของความเป็นเมืองในระยะเริ่มต้นนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้

เมืองที่ถูกค้นพบใหม่นี้รู้จักกันในชื่อ อัล-นาทาห์ (Al-Natah) ซึ่งมีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ที่มีการใช้งานแตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่สำหรับพิธีศพซึ่งอยู่ภายในป้อมปราการ อัล-นาทาห์ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2,400-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และดำรงอยู่จนถึงช่วง 1,500-1,300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมืองแห่งนี้เป็นที่อยู่ของประชากรราว 500 คน ครอบคลุมพื้นที่ 2.6 เฮกตาร์ โดยมีแนวกำแพงหินล้อมรอบโอเอซิสคัยบาร์ปกป้องเมืองแห่งนี้

ประชากรในอัล-นาทาห์อาศัยอยู่ในบ้านที่มีชั้นล่างซึ่งอาจใช้เป็นที่เก็บของ และชั้นบนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย พวกเขาเดินตามทางถนนแคบ ๆ และฝังศพของผู้ตายในสุสานทรงหอคอยที่มีขั้นบันได เตรียมอาหารด้วยครกและสาก ผลิตและค้าขายเครื่องปั้นดินเผา และเดินทางไปเป็นระยะทางกว้างไกล ทั้งยังมีอาชีพเกี่ยวกับโลหะ ปลูกธัญพืช และเลี้ยงสัตว์

เจ้าชาย Badr bin Abdullah bin Mohammed bin Farhan Al Saud ผู้ว่าการคณะกรรมาธิการแห่งราชอาณาจักรอัลอูลา (AlUla) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของซาอุดีอาระเบีย ทรงระบุว่า "การค้นพบทางโบราณคดีครั้งสำคัญนี้เน้นให้เห็นความสำคัญระดับโลกของราชอาณาจักรในสาขาโบราณคดี และยืนยันถึงอารยธรรมที่ลึกซึ้งของแผ่นดินแห่งนี้ การค้นพบครั้งนี้ช่วยเสริมความพยายามเพื่อปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักร และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญกับโลก เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ถึงมรดกร่วมกันของมนุษยชาติ"

พระองค์ตรัสเสริมว่า "การค้นพบนี้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของราชอาณาจักรในการอนุรักษ์มรดกของโลก และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมตามบทบัญญัติในวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 นอกจากนี้ยังเน้นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อส่งต่อมรดกอันรุ่มรวยนี้ไปยังคนรุ่นต่อไปและทั่วโลก"

การค้นพบนี้นำโดย ดร. Guillaume Charloux จากโครงการวิจัยโบราณคดี Khaybar Longue Durée และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส (French National Centre for Scientific Research: CNRS) พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญชาวซาอุดีอาระเบียจากคณะกรรมาธิการแห่งราชอาณาจักรอัลอูลา (Royal Commission for AlUla: RCU) ดร. Munirah Almushawh หัวหน้าโครงการร่วม และ Saifi Alshilali นักประวัติศาสตร์และสมาชิกชุมชนท้องถิ่นในคัยบาร์

การวิจัยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนโดย RCU และหน่วยงานฝรั่งเศสเพื่อการพัฒนาอัลอูลา (AFALULA) ทั้งนี้ ทีมงานโบราณคดี การสะสม และการอนุรักษ์ของ RCU ได้ควบคุมโครงการวิจัยโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่และท้าทายในอัลอูลา

การค้นพบนี้ช่วยผลักดันให้อัลอูลาและซาอุดีอาระเบียเป็นศูนย์กลางของการวิจัยทางโบราณคดีและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับโลก RCU แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านโบราณคดีและความรับผิดชอบในการดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรม ด้วยการมอบหมายให้ดำเนินการและสนับสนุนการวิจัยที่เปิดเผยให้เห็นกิจกรรมของมนุษย์ในอดีต

งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิชื่อ PLOS One โดยเนื้อหาของงานวิจัยนี้ท้าทายภาพลักษณ์ของระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตทางสังคมที่เน้นการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อนเป็นวิถีชีวิตหลักในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอาระเบียในยุคสำริดตอนต้นและตอนกลาง

ดร. Charloux กล่าวถึงการค้นพบว่า "การค้นพบของเราท้าทายแบบแผนของภูมิภาคอาระเบียตะวันตกเฉียงเหนือในยุคสำริด โดยเมืองอัล-นาทาห์เป็นสิ่งยืนยันว่าความเป็นเมืองแบบชนบทนั้นเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เคยเชื่อกัน ทำให้เราสามารถพิจารณาความซับซ้อนของการตั้งถิ่นฐานถาวรในโอเอซิสที่มีกำแพงล้อมรอบในยุคสำริดได้"

ในฤดูกาลภาคสนามช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงนี้ RCU ให้การสนับสนุนโครงการโบราณคดี 10 โครงการ ซึ่งประกอบไปด้วยนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 คนในเขตอัลอูลาและคัยบาร์

สามารถอ่านบทความนี้ได้ที่นี่: https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0309963

สำหรับภาพและคำบรรยาย รวมถึงการจำลองภาพลักษณะของเมืองอัล-นาทาห์ กรุณาเยี่ยมชม: https://drive.google.com/drive/folders/1_Jbw6gbmTHGG27DGtdyMcVwxc-M8y_k4

รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/2546742/RCU_Fig_14.jpg?p=medium600
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/2546743/RCU_Fig_7.jpg?p=medium600
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/2546752/RCU_Logo.jpg?p=medium600

The residential area of the al-Natah site, looking west. Khaybar LDAP (CNRS-AFALULA-RCU)
The residential area of the al-Natah site, looking west. Khaybar LDAP (CNRS-AFALULA-RCU)

 

 

Source: The Royal Commission for AlUla (RCU)
Keywords: Art Entertainment Publishing/Information Service Travel Survey, Polls & Research