- ได้รับเงินกู้ 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกลุ่มธนาคาร 5 แห่ง สำหรับนำไปใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ เฟสที่สอง ขนาด 630 เมกะวัตต์
- เป็นหนึ่งในข้อตกลงเงินกู้ขนาดใหญ่ที่สุดในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกในปีนี้
- ข้อตกลงนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Mainstream ที่มีต่อการผลิตพลังงานหมุนเวียนในชิลี และสะท้อนผลงานความสำเร็จของบริษัทในการส่งมอบโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในระดับกิกะวัตต์
- โครงการ Andes Renovables ขนาด 1.3 กิกะวัตต์ ยังคงมีความก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยม แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากมาตรการด้านความปลอดภัยภายในที่เคร่งครัด
ดับลิน, 4 กันยายน 2563 /PRNewswire/ -- Mainstream Renewable Power ("Mainstream" หรือ "บริษัท") บริษัทพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ระดับโลก บรรลุข้อตกลงทางการเงินสำหรับการดำเนินการเฟสที่สองของโครงการ "Andes Renovables" ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาด 1.3 กิกะวัตต์ในประเทศชิลีที่บริษัทเป็นเจ้าของทั้งหมด
บริษัทประสบความสำเร็จในการระดมทุน 620 ล้านดอลลาร์ผ่านการกู้ยืม เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างเฟสที่สองของโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของลาตินอเมริกา ส่งผลให้เม็ดเงินทั้งหมดที่โครงการ Andes Renovables ระดมทุนได้จนถึงปัจจุบันนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 1.25 พันล้านดอลลาร์
สำหรับเงินกู้ยืมรอบนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคาร 5 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย IDB Invest, KfW IPEX-Bank, DNB, CaixaBank และ MUFG และเป็นข้อตกลงการกู้เงินเพื่อธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่มีมูลค่าสูงสุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ ขณะที่ธนาคารแห่งที่ 6 คือ Santander ได้จัดสรรวงเงินกู้เพื่อนำไปจ่ายภาษี VAT
โครงการโรงไฟฟ้า Andes Renovables เฟสสอง มีกำลังการผลิต 630 เมกะวัตต์ และมีชื่อเรียกว่า "Huemul" ประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนชายฝั่ง 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่ง โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 5 แห่งนี้อยู่ในช่วงก่อนก่อสร้าง และจะดำเนินงานในเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2564-2565 ซึ่งจะผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างยั่งยืนและมากเพียงพอสำหรับบ้านเรือน 781,000 หลังในชิลี และจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 744,200 เมตริกตันต่อปี
Andes Renovables เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ มูลค่าราว 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็นสามเฟส ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนชายฝั่ง 7 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่ง โดยเฟสแรกชื่อ "Cóndor" ได้ปิดการระดมทุนผ่านการกู้ยืมเงินในเดือนพฤศจิกายน 2562 และก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ไปกว่า 30% แล้ว โครงการเฟสนี้สร้างงานเกือบ 1,200 ตำแหน่งใน 3 ภูมิภาคของชิลี และยังคงดำเนินงานอย่างปลอดภัยในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ภายใต้มาตรการด้านสุขอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เคร่งครัด ส่วนเฟสต่อไป ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายมีชื่อว่า "Copihue" ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 1 แห่งที่มีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ และมีแนวโน้มว่าจะปิดการระดมทุนทางการเงินได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
Vestas, Nordex Group และ Siemens Gamesa จะเป็นผู้จัดหากังหันลม และ Sacyr Industrial, SEMI และ Elecnor จะเป็นผู้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะก่อสร้างโดยบริษัท Sterling & Wilson และ Metka-Egn ขณะที่หม้อแปลงไฟฟ้าหลักทั้ง 5 ตัวสำหรับโครงการดังกล่าวมีบริษัท Hitachi ABB Power Grids เป็นผู้จัดหา ส่วนงานเชื่อมสายไฟฟ้ามีกลุ่มบริษัทที่ประกอบด้วย Transelec, Inprolec และ Isotron-Siemens เป็นผู้ดำเนินการ
Mary Quaney ประธานบริหารกลุ่ม Mainstream กล่าวว่า:
"การปิดการระดมทุนในเฟสที่สองของโครงการ Andes Renovables ของเรานี้ นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการเดินทางของ Mainstream เพื่อส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์อันดับหนึ่งของลาตินอเมริกา"
"แม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากโควิด-19 แต่การบรรลุข้อตกลงเงินกู้ครั้งนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการสนับสนุนของกลุ่มธนาคารที่มีให้กับ Mainstream ในฐานะผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนอิสระชั้นนำของโลก
"Mainstream กำลังสร้างสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าจากโครงการ Andes Renovables ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่มาก และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับชิลี เนื่องจากชิลีกำลังคาดหวังที่จะลงทุนเพื่อการฟื้นตัวจากโควิด-19 อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการทำให้ระบบไฟฟ้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดราคาการผลิตไฟฟ้าทั่วประเทศ"
Manuel Tagle ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคลาตินอเมริกาของ Mainstream กล่าวว่า:
"เหตุการณ์สำคัญครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นในขณะที่เรากำลังมีความก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเฟสหนึ่ง และผมดีใจที่ทีมงานของเราสามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคระบาด
"ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของโครงการนี้มีความสำคัญมาก โดยนอกจากโครงการ Andes Renovables แล้ว Mainstream ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ที่อยู่ในแผนพัฒนาอีก 2.7 กิกะวัตต์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการสนับสนุนชิลีให้มากยิ่งขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้"
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ:
เกี่ยวกับ Mainstream Renewable Power ในชิลี
เมื่อปี 2559 Mainstream ชนะประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าแบบเป็นกลางทางเทคโนโลยีโครงการใหญ่ที่สุดในชิลี โดยคว้าส่วนแบ่งมากที่สุด 27% จากทั้งหมด คณะกรรมาธิการพลังงานแห่งชาติของชิลีได้ทำสัญญาในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐระยะเวลา 20 ปี เพื่อมอบหมายให้ Mainstream ผลิตไฟฟ้า 3,366 กิกะวัตต์ชั่วโมงตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป นอกจากนี้ Mainstream ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 332 เมกะวัตต์ในชิลีที่ร่วมมือกับบริษัท Actis และเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ครั้งแรกเมื่อปี 2557 นอกจากนี้ Mainstream ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 2,700 เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในชิลี
รายละเอียดของโครงการ
โครงการ Andes Renovables Platform |
||||
เฟส |
ชื่อ |
โรงไฟฟ้าพลังงานลม (MW) |
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (MW) |
เริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ |
1 |
Cóndor |
3 แห่ง (426MW) |
1 แห่ง (145MW) |
ปี 2564 |
2 |
Huemul |
3 แห่ง (425 MW) |
2 แห่ง (205 MW) |
ปี 2564 – 2565 |
3 |
Copihue |
1 แห่ง (100 MW) |
n/a |
2565 |
951 MW (พลังงานลมบนชายฝั่ง) |
350 MW (พลังงานแสงอาทิตย์) |
เฟสสอง - Huemul |
||||||
ชื่อ |
เทคโนโลยี |
|
ที่ตั้ง |
เริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ |
ผู้จัดหาอุปกรณ์ |
ผู้รับเหมาก่อสร้าง |
Puelche |
พลังงานลม |
156 |
Los Lagos |
ปี 2565 |
Nordex |
SEMI |
Llanos del |
พลังงานลมบนชายฝั่ง |
160 |
Antofagasta |
ปี 2565 |
Siemens |
Elecnor |
Ckani |
พลังงานลมบนชายฝั่ง |
109 |
Antofagasta |
ปี 2565 |
Vestas |
Sacyr |
Pampa |
พลังแสงอาทิตย์ |
100 |
Antofagasta |
ปี 2564 |
Full EPC contract Metka-Egn |
|
Valle |
พลังแสงอาทิตย์ |
105 |
Atacama |
ปี 2564 |
Full EPC contract Sterling & Wilson |
|
รวม |
630 |
ติดต่อ:
Emmet Curley, Head of Communications & Positioning
โทร: +353 86 2411 690
อีเมล: emmet.curley@mainstreamrp.com
เกี่ยวกับ Mainstream Renewable Power
Mainstream Renewable Power คือผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภคของเอกชนเพียงแห่งเดียวที่ดำเนินธุรกิจในระดับโลก บริษัทมุ่งส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์คุณภาพสูงรวมกว่า 9 กิกะวัตต์ทั่วลาตินอเมริกา แอฟริกา เอเชียแปซิฟิก รวมถึงในอุตสาหกรรมพลังงานลมนอกชายฝั่งทั่วโลก
Mainstream ได้ส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำลังผลิตรวมกว่า 1.1 กิกะวัตต์เข้าสู่การดำเนินงานเชิงพาณิชย์แล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีก 1.9 กิกะวัตต์ทั่วลาตินอเมริกาและแอฟริกา
ในประเทศชิลี โรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1.3 กิกะวัตต์ซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของทั้งหมด กำลังจะเข้าสู่การดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในปี 2564 ขณะเดียวกัน บริษัทได้ส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์เข้าสู่การดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในแอฟริกาใต้ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 250 เมกะวัตต์ นอกจากนั้นยังร่วมทุนกับบริษัท Lekela Power ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 410 เมกะวัตต์ในเซเนกัลและอียิปต์
Mainstream เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งอิสระที่ประสบความสำเร็จที่สุดในระดับโลก โดยประสบความสำเร็จในโครงการ Hornsea One (1.2 กิกะวัตต์) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน รวมทั้งประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ Hornsea 2 (1.4 กิกะวัตต์) ก่อนขายโครงการเหล่านี้และทั้งโซนในปี 2558 นอกจากนี้ Mainstream ยังได้ขายสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Neart na Gaoithe ขนาด 450 เมกะวัตต์ในสกอตแลนด์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้
Mainstream พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Soc Trang ขนาด 800 เมกะวัตต์ในเวียดนาม ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกัน Mainstream ได้ลงนามข้อตกลงกับ Eni บริษัทพลังงานระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาพลังงานหมุนเวียนทั่วแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากเดิมที่พุ่งเป้าไปที่โครงการ Offshore Round 4 ของสหราชอาณาจักร
จนถึงขณะนี้ Mainstream ระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการได้มากกว่า 3.0 พันล้านยูโร และมีพนักงานมากกว่า 300 คนใน 5 ทวีป
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/686512/Mainstream_Renewable_Power_Logo.jpg?p=medium600