มีการคาดการณ์ว่าเดือนธันวาคมเป็นเดือนมรณะ หรือ 'Deadly December' ซึ่งจะมีผู้เสียชีวิตเกือบ 30,000 รายในแต่ละวัน เมื่อลมหนาวเยือนซีกโลกเหนืออีกครั้ง
ซีแอตเทิล--4 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ในการคาดการณ์สถานการณ์โรคโควิด-19 รายประเทศเป็นครั้งแรกของโลก สถาบัน Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME) ที่วิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน คาดการณ์ว่า ระหว่างนี้ไปจนถึง 1 มกราคม มาตรการต่าง ๆ อย่างเช่นการสวมหน้ากากและการรักษาระยะห่างทางสังคม อาจช่วยชีวิตคนได้เกือบ 770,000 รายทั่วโลก
คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตสะสมจนถึง 1 มกราคมจะอยู่ที่ 2.8 ล้าน เพิ่มขึ้นราว 1.9 ล้านรายนับจากระหว่างนี้จนถึงสิ้นปี โดยยอดผู้เสียชีวิตในเดือนธันวาคมอาจสูงถึง 30,000 รายต่อวัน
"การประมาณการรายประเทศเป็นครั้งแรกของโลกนี้เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล ตลอดจนชี้ให้เห็นแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ที่ภาครัฐและประชาชนปฏิบัติตามได้" ดร. Christopher Murray ผู้อำนวยการสถาบัน IHME กล่าว "เรากำลังเผชิญกับแนวโน้มที่จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเดือนธันวาคม โดยเฉพาะในยุโรป เอเชียกลาง และสหรัฐ แต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนพร้อมหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าการสวมหน้ากาก รักษาระยะห่างทางสังคม และจำกัดการรวมตัวพบปะสังสรรค์ เป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยยับยั้งการระบาดของไวรัสดังกล่าว"
สถาบัน IHME ได้คาดการณ์สถานการณ์ไว้ 3 กรณี ดังนี้
ตัวเลขที่ว่าอาจช่วยได้ 750,000 ชีวิตและในเดือนธันวาคมอาจมีผู้เสียชีวิตรายวัน 30,000 คนนี้มาจากความแตกต่างระหว่าง "กรณีที่ดีที่สุด" และ "กรณีที่มีแนวโน้มจะเกิดที่สุด"
กรณีแต่ละรูปแบบนี้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมในปัจจุบัน ซึ่งประมาณไว้ว่ามีทั้งหมดเกือบ 910,000 รายทั่วโลก การเพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในซีกโลกเหนือ จนถึงปัจจุบัน โรคโควิด-19 ยังคงมีรูปแบบเชิงฤดูกาลที่คล้ายคลึงกับโรคปอดบวม และถ้ายังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป ประเทศในซีกโลกเหนืออาจต้องเตรียมรับมือกับยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและในช่วงฤดูหนาว
ดร. Murray กล่าวว่า "คนในซีกโลกเหนือต้องระวังเป็นพิเศษขณะที่ฤดูหนาวกำลังคืบคลานเข้ามา เนื่องจากไวรัสโคโรนาจะแพร่กระจายได้ดีกว่าในสภาพอากาศหนาวเย็น เช่นเดียวกับโรคปอดบวม"
ดร. Murray ยังเน้นย้ำโอกาสที่จะช่วยชีวิตคนอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยปฏิบัติการที่ทันท่วงที
"ตัวเลขประมาณการสถานการณ์โควิด-19 นี้สูงจนน่าตกใจ" ดร. Murray กล่าว "ยอดผู้เสียชีวิตที่คาดการณ์ไว้มีมากกว่าความจุของสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก 50 แห่ง ซึ่งเป็นภาพที่น่าเศร้าของชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนที่ต้องเสียไป"
จากกรณีประมาณการของ IHME ที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากที่สุด ประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดได้แก่ หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ เนเธอร์แลนด์ และสเปน หากพิจารณาตามการแบ่งภูมิภาคขององค์การอนามัยโลกแล้ว กรณีประมาณการนี้คาดว่าในวันที่ 1 มกราคมจะมียอดผู้เสียชีวิตรวม 959,685 รายในภูมิภาคอเมริกา, 667,811 รายในภูมิภาคยุโรป, 79,583 รายในภูมิภาคแอฟริกา, 168,711 รายในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก, 738,427 รายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 191,598 รายในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก
ดร. Murray กล่าวว่า "เราต้องเรียนรู้จากผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่สามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 หรือที่มีการระบาดระลอกที่สอง และประเทศที่มีการรับมืออย่างทันท่วงทีจนทำให้ช่วยลดการเสียชีวิตไว้ได้"
เขายังย้ำเตือนไม่ให้ใช้ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "ภูมิคุ้มกันหมู่" (herd immunity) ซึ่งหมายถึงภูมิคุ้มกันหมู่ที่เกิดขึ้นหลังจากประชากรจำนวนมากมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสจากการติดเชื้อและหายจากโรคแล้ว ส่วน "กรณีที่เลวร้าย" ในการประมาณการนี้สะท้อนสภาวะที่ผู้นำประเทศต่าง ๆ ปล่อยให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อในประชากร ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมาก
"การประมาณการครั้งแรกของโลกเช่นนี้เป็นโอกาสในการเน้นย้ำปัญหาของยุทธศาสตร์ภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งละเลยทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และศีลธรรม ด้วยการปล่อยให้หลายล้านชีวิตต้องถูกคร่าไปทั้งที่หลีกเลี่ยงได้" ดร. Murray กล่าว "นี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายและน่าตำหนิ"
10 ประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตต่อจำนวนประชากรสูงสุดในกรณีประมาณการแบบเลวร้าย แบบมีแนวโน้มจะเกิดมากที่สุด และแบบดีที่สุด มีดังนี้
10 ประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตรวมสูงสุด ณ วันที่ 1 มกราคม
กรณีที่เลวร้าย |
กรณีที่มีแนวโน้มจะเกิดที่สุด |
กรณีที่ดีที่สุด |
อินเดีย: 916,688 ราย (ระหว่าง 562,203–1,431,708 ราย) |
อินเดีย: 659,537 ราย (ระหว่าง 415,118–1,087,533 ราย) |
อินเดีย: 484,981 ราย (ระหว่าง 316,111–819,426 ราย) |
สหรัฐอเมริกา: 620,029 ราย (ระหว่าง 463,361–874,649 ราย) |
สหรัฐอเมริกา: 410,451 ราย (ระหว่าง 347,551–515,272 ราย) |
สหรัฐอเมริกา: 288,381 ราย (ระหว่าง 257,286–327,775 ราย) |
ญี่ปุ่น: 287,635 ราย (ระหว่าง 25,669–758,716 ราย) |
บราซิล: 174,297 ราย (ระหว่าง 163,982–185,913 ราย) |
บราซิล: 160,567 ราย (ระหว่าง 152,483–169,483 ราย) |
สเปน: 180,904 ราย (ระหว่าง 97,665–282,075 ราย) |
เม็กซิโก: 138,828 ราย (ระหว่าง 125,763–156,493 ราย) |
เม็กซิโก: 130,545 ราย (ระหว่าง 118,201–147,963 ราย) |
บราซิล: 177,299 ราย (ระหว่าง 166,656–189,259 ราย) |
ญี่ปุ่น: 120,514 ราย (ระหว่าง 10,301–492,791 ราย) |
ญี่ปุ่น: 104,808 ราย (ระหว่าง 7,971–456,224 ราย) |
เม็กซิโก: 157,264 ราย (ระหว่าง 139,863–183,739 ราย) |
สหพันธรัฐรัสเซีย: 94,905 ราย (ระหว่าง 57,575–170,048 ราย) |
สเปน: 66,508 ราย (ระหว่าง 41,980–117,239 ราย) |
ฟิลิปปินส์: 117,721 ราย (ระหว่าง 27,525–176,324 ราย) |
ฝรั่งเศส: 73,743 ราย (ระหว่าง 44,693–161,349 ราย) |
สหราชอาณาจักร: 59,819 ราย (ระหว่าง 57,572–65,411 ราย) |
ฝรั่งเศส: 116,415 ราย (ระหว่าง 51,021–342,047 ราย) |
สหราชอาณาจักร: 69,548 ราย (ระหว่าง 59,680–96,669 ราย) |
ฟิลิปปินส์: 58,030 ราย (ระหว่าง 7,552–137,358 ราย) |
สหพันธรัฐรัสเซีย: 112,367 ราย (ระหว่าง 63,165–214,363 ราย) |
สเปน: 69,445 ราย (ระหว่าง 43,306–122,913 ราย) |
ฝรั่งเศส: 46,623 ราย (ระหว่าง 38,070–69,559 ราย) |
เนเธอร์แลนด์: 94,332 ราย (ระหว่าง 21,815–186,842 ราย) |
ฟิลิปปินส์: 58,412 ราย (ระหว่าง 7,660–136,079 ราย) |
เปรู: 46,528 ราย (ระหว่าง 44,161–48,557 ราย) |
10 ประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตสะสมต่อประชากร 100,000 สูงสุด ณ วันที่ 1 มกราคม
กรณีที่เลวร้าย |
กรณีที่มีแนวโน้มจะเกิดที่สุด |
กรณีที่ดีที่สุด |
เนเธอร์แลนด์: 549.8 ราย (ระหว่าง 127.1–1,089.0 ราย) |
หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ: 349.8 ราย (ระหว่าง 42.4–516.3 ราย) |
หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ: 343.9 ราย (ระหว่าง 39.4–514.6 ราย) |
สเปน: 393.1 ราย (ระหว่าง 212.2–612.9 ราย) |
เนเธอร์แลนด์: 204.5 ราย (ระหว่าง 64.1–595.7 ราย) |
สเปน: 144.5 ราย (ระหว่าง 91.2–254.7 ราย) |
หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ: 364.7 ราย (ระหว่าง 51.0–520.1 ราย) |
สเปน: 150.9 ราย (ระหว่าง 94.1–267.1 ราย) |
เปรู: 136.9 ราย (ระหว่าง 129.9–142.8 ราย) |
ญี่ปุ่น: 225.1 ราย (ระหว่าง 20.1–593.7 ราย) |
เบลเยียม: 139.7 ราย (ระหว่าง 92.3–290.6 ราย) |
ซานมารีโน: 132.1 ราย (ระหว่าง 130.9–134.2 ราย) |
สวีเดน: 223.1 ราย (ระหว่าง 83.1–894.3 ราย) |
เปรู: 137.3 ราย (ระหว่าง 130.1–143.4 ราย) |
คาซัคสถาน: 121.4 ราย (ระหว่าง 53.4–183.5 ราย) |
โรมาเนีย: 216.1 ราย (ระหว่าง 106.9–384.4 ราย) |
ซานมารีโน: 137.2 ราย (ระหว่าง 132.4–151.2 ราย) |
เอกวาดอร์: 117.4 ราย (ระหว่าง 109.4–128.4 ราย) |
อิสราเอล: 195.5 ราย (ระหว่าง 93.3–363.7 ราย) |
สวีเดน: 125.4 ราย (ระหว่าง 71.6–394.0 ราย) |
เบลเยียม: 106.9 ราย (ระหว่าง 90.9–149.0 ราย) |
สาธารณรัฐมอลโดวา: 192.3 ราย (ระหว่าง 105.4–312.8 ราย) |
สหรัฐอเมริกา: 125.1 ราย (ระหว่าง 106.0–157.1 ราย) |
ปานามา: 104.8 ราย (ระหว่าง 76.9–149.3 ราย) |
สหรัฐอเมริกา: 189.0 ราย (ระหว่าง 141.3–266.7 ราย) |
เอกวาดอร์: 118.3 ราย (ระหว่าง 109.8–129.8 ราย) |
เม็กซิโก: 104.5 ราย (ระหว่าง 94.6–118.4 ราย) |
มอนเตเนโกร: 183.3 ราย (ระหว่าง 17.5–389.5 ราย) |
ฝรั่งเศส: 111.4 ราย (ระหว่าง 67.5–243.7 ราย) |
โคลอมเบีย: 94.7 ราย (ระหว่าง 81.5–112.1 ราย) |
การคาดการณ์ของ IHME สำหรับอินเดียมาจากโมเดลทางระบาดวิทยาซึ่งประกอบด้วยข้อมูลการติดเชื้อ การเสียชีวิต ความชุกของแอนติบอดี และอัตราการตรวจโรคโควิด-19 ของแต่ละรัฐ การเคลื่อนย้ายเดินทาง มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากาก ความหนาแน่นของประชากรและโครงสร้างทางอายุ และฤดูกาลของโรคปอดบวม ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับแนวโน้มของโรคโควิด-19
สามารถดูการคาดการณ์ใหม่นี้ รวมทั้งการประมาณการยอดติดเชื้อรายวันได้ที่ https://covid19.healthdata.org/india ซึ่งจะอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
เกี่ยวกับสถาบัน Institute for Health Metrics and Evaluation
สถาบัน Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME) คือองค์กรวิจัยอิสระด้านสุขภาพระดับโลกที่วิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งทำหน้าที่ประเมินปัญหาสุขภาพที่สำคัญของโลกอย่างแม่นยำและสามารถนำมาใช้เปรียบเทียบได้ พร้อมทั้งประเมินกลยุทธ์ที่ใช้ในการจัดการกับปัญหาเหล่านั้น สถาบัน IHME มีพันธกิจในด้านความโปร่งใสและการทำให้ข้อมูลเข้าถึงได้ในวงกว้าง เพื่อช่วยให้ผู้ทำหน้าที่ออกนโยบายมีหลักฐานที่ต้องใช้ในการตัดสินใจด้วยข้อมูลและการจัดสรรทรัพยากรเพื่อยกระดับสุขภาพของประชากร
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/1156878/IHME_Logo.jpg?p=medium600