สิงคโปร์--25 มกราคม 2564--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
StashAway บริษัทเทคโนโลยีบริหารจัดการการลงทุน (Digital Wealth Management) สำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนรายใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศว่า บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท)
นับตั้งแต่ StashAway เริ่มให้บริการครั้งแรกในปี 2560 ได้มีผู้เล่นหน้าใหม่หลายรายเข้ามาเริ่มธุรกิจเทคโนโลยีบริหารจัดการการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทั้งนี้ StashAway เป็นบริษัทแรกในภูมิภาคดังกล่าวที่ประกาศว่ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสามารถทำตามเป้าหมายดังกล่าวได้ภายในเวลาเพียง 42 เดือน ซึ่งเร็วกว่าที่บริษัทเทคโนโลยีบริหารจัดการการลงทุนรายใหญ่ของโลกอย่าง Betterment และ Wealthfront ได้เคยทำไว้
Michele Ferrario ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Executive Officer ของ StashAway กล่าวว่า "เราก่อตั้งบริษัทเพื่อพัฒนาบริการด้านการลงทุนที่ดีกว่าซึ่งจะช่วยให้คนทำตามเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้ เพราะทางเลือกการลงทุนแบบเดิมไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อให้เงินออมงอกเงยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เราตระหนักดีว่าคู่แข่งตัวจริงของเราคือเงินสดที่อยู่ในธนาคาร เพราะในเอเชีย 46% ของสินทรัพย์ทางการเงินถูกจัดเก็บอยู่ในรูปแบบของเงินฝากธนาคาร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับ 14% ในอเมริกาเหนือ ด้วยเหตุนี้ นอกจากเราจะให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่มีความละเอียดและซับซ้อนระดับมาตรฐานสากลและการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าแล้ว เรายังเน้นการให้ความรู้ทางการเงินเพื่อช่วยให้คนเข้าใจวิธีการบริหารจัดการความมั่งคั่งของตนเอง การยึดถือผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราได้รับความเชื่อมั่นที่ได้จากลูกค้า ซึ่งช่วยให้เราเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
อีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ StashAway สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนก็คือ ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องแม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น การปรับฐานอย่างรุนแรงสองครั้งในปี 2561 และสถานการณ์ COVID-19 ในปี 2563 โดย StashAway ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี* ตั้งแต่ 4.3% (สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุด) ไปจนถึง 15.1% (สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด) นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ปี 2560 นอกจากนี้ในปี 2563 ปีเดียว บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่าง 3.5% ถึง 22.5% สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุดถึงสูงสุดและสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Benchmark อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2563 World Economic Forum ยกย่อง StashAway ในฐานะ Technology Pioneer จาก "การพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อช่วยสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนาของโลก"
Freddy Lim ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Investment Officer ของ StashAway กล่าวเสริมว่า "การมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาไม่ถึง 4 ปีเป็นเพียงสัญญาณหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียต้องการบริการด้านการลงทุนที่ดีกว่าเดิม เราเห็นยอดผู้ใช้บริการมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง มีการฝากเงินเพื่อลงทุนอย่างต่อเนื่อง และผู้คนยังให้ความสนใจในความรู้ด้านการบริหารการเงินที่เรานำเสนอ อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการพลิกโฉมวิธีการลงทุนเพื่อเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ในสิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA)"
* ผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนในอนาคต ก่อนลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายของการลงทุน ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระหากมีความจำเป็น
เกี่ยวกับ StashAway
StashAway คือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบริหารจัดการการลงทุนที่นำเสนอตัวเลือกการลงทุนและการบริหารเงินสดสำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนรายใหญ่ โดยเทคโนโลยีของ StashAway ช่วยจัดการการลงทุนของลูกค้าแต่ละรายโดยอัตโนมัติ บริษัทมี 3 ผลิตภัณฑ์การลงทุนหลัก คือ พอร์ตการลงทุนต่างประเทศตามระดับความเสี่ยงต่างๆ (Global Growth-Oriented Investment) พอร์ตการลงทุนแบบเน้นสร้างรายได้ (Income Portfolio) และทางเลือกใหม่ในการบริหารเงินสดในชื่อ StashAway Simple™
StashAway ได้รับเงินลงทุนจากกองทุน Venture Capital รายใหญ่จากทั่วโลก ได้แก่ กองทุน Eight Roads Ventures ที่สนับสนุนโดยบริษัท Fidelity Investment และเป็นผู้ลงทุนรายแรก ๆ ใน Alibaba กองทุน Square Peg ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย บริษัท Asia Capital & Advisors ซึ่งประกอบธุรกิจ Private Equity นำโดย Francis Rozario และ Aaron Razario รวมถึงกองทุน Burda Principal Investments ซึ่งเป็นธุรกิจด้านการลงทุนของบริษัท Hubert Burda Media ซึ่งเป็นบริษัทสื่อและเทคโนโลยีชั้นนำจากเยอรมนี
StashAway มีทุนชำระแล้ว (Paid-Up Capital) รวม 36.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้นำทุนเหล่านี้ไปสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และขยายตลาดไปยังมาเลเซีย และตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) หลังจากระดมทุนรอบ Series C ในเดือนกรกฎาคม ปี 2563 บริษัทได้เปิดตัว StashAway Workplace ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ในการจัดการผลประโยชน์ทางการเงินของพนักงานในองค์กร (Corporate Financial Benefits Solution) อีกทั้งเปิดตัวบริการต่าง ๆ ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) โดยให้บริการจากสำนักงานในเมืองดูไบ ทำให้บริษัทมีการดำเนินงานทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ทั้งนี้ StashAway ได้รับใบอนุญาตจัดการกองทุนจากธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (SC) และได้รับใบอนุญาตจัดการสินทรัพย์จากสำนักงานกำกับการบริการทางการเงินดูไบ (DSFA)