การทำงานทางไกลช่วยยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีและผลิตภาพของพนักงาน
นิวยอร์ก--27 พฤษภาคม 2564--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
การสำรวจระดับโลกของ Catalyst พบว่า พนักงาน 92% กำลังประสบภาวะหมดไฟจากความเครียดที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ทำงาน ประสบการณ์การทำงานในช่วงโควิด-19 และ/หรือ ชีวิตส่วนตัว ซึ่งถือเป็น "วิกฤตการทำงาน" ขณะที่นักวิจัยกล่าวว่า แนวทางในการแก้ไขเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน รวมถึงผลิตภาพ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ การรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร และการยอมรับความแตกต่าง คือการทำงานทางไกล โดยการค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการสูญเสียงานในช่วงการแพร่ระบาดอย่างไม่ได้สัดส่วนเมื่อเทียบกับผู้ชาย
งานวิจัยในหัวข้อ การทำงานทางไกลช่วยเพิ่มผลิตภาพและระงับภาวะหมดไฟ (Remote-Work Options Can Boost Productivity and Curb Burnout) ได้ทำการสำรวจพนักงานเกือบ 7,500 คนทั่วโลก และให้นิยาม "ภาวะหมดไฟ" ว่าเป็น "ความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจากความเครียดสะสมและส่งผลกระทบเชิงลบ รวมถึงการไม่มีใจทำงาน และความรู้สึกไร้ประสิทธิภาพในอาชีพ" ซึ่งการศึกษานี้เป็นรายงานฉบับแรกของการวิจัยความเท่าเทียมในอนาคตการทำงาน (Equity in the Future of Work) ของ Catalyst
จากการวิเคราะห์รายงานนั้น ดร.ทารา แวน บอมเมล ซึ่งเป็นผู้เขียน ได้แบ่งภาวะหมดไฟออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การหมดไฟจากการทำงาน การหมดไฟจากการทำงานช่วงโควิด-19 และการหมดไฟจากเรื่องส่วนตัว ซึ่งการทำงานทางไกลช่วยระงับอาการหมดไฟทั้ง 3 ประเภทนี้ได้แม้กลุ่มตัวอย่างจะมีตัวแปรแตกต่างกัน เช่น เพศหรือสถานะการเลี้ยงดูบุตร โดยข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ได้ผลกับผู้หญิงในที่ทำงานนั้นได้ผลกับทุกคนเช่นกัน
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า เมื่อบริษัทต่าง ๆ เสนอทางเลือกในการทำงานทางไกล ซึ่งรวมถึงสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่น ทีมงานกระจายตัว และ/หรือ การทำงานผ่านทางออนไลน์/การทำงานทางไกล/การทำงานจากบ้าน ส่งผลให้พนักงานมีอาการหมดไฟในที่ทำงานลดลง 26% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ทำงานทางไกล นอกจากนี้ การที่พนักงานมีสิทธิ์ทำงานทางไกลและหัวหน้างานแสดงความเห็นอกเห็นใจ ส่งผลให้อาการหมดไฟในที่ทำงานลดลง 43% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ทำงานทางไกลหรือหัวหน้างานไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจ
ขณะเดียวกัน การศึกษาพบว่าพนักงานที่มีสิทธิ์ทำงานทางไกลมีแนวโน้มมองหางานใหม่สำหรับปีหน้าน้อยลง 30% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีสิทธิ์ทำงานทางไกล นอกจากนี้ ผู้หญิงที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูบุตรมีแนวโน้มที่จะลาออกจากงานน้อยลง 32% เมื่อสามารถทำงานทางไกล เทียบกับผู้หญิงที่ต้องเลี้ยงดูบุตรแต่ไม่สามารถทำงานทางไกลได้
ไม่น่าแปลกใจที่รายงานดังกล่าวพบว่า การคาดหวังให้พนักงาน "พร้อมทำงานตลอดเวลา" ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืนอีกต่อไป และได้แนะนำวิธีแก้ปัญหาสำหรับองค์กรเพื่อช่วยระงับอาการหมดไฟดังต่อไปนี้
ลอร์เรน แฮริตัน ประธานและซีอีโอของ Catalyst กล่าวว่า "การหมดไฟนำไปสู่การลาออก แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยนโยบายการทำงานทางไกล รวมถึงความเป็นผู้นำที่เห็นอกเห็นใจและยอมรับความแตกต่าง ซึ่งตัวเลือกการทำงานทางไกลและยืดหยุ่นที่นำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรเข้าถึงบุคลากรมากความสามารถได้มากขึ้นและมีอัตราการลาออกน้อยลง รวมถึงมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่และผลิตภาพเพิ่มขึ้น"
ดูข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดรายงานได้ที่ https://www.catalyst.org/reports/remote-work-burnout-productivity/
เกี่ยวกับ Catalyst
Catalyst เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ซึ่งทำงานกับซีอีโอที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับต้น ๆ และบริษัทชั้นนำของโลก เพื่อช่วยสร้างสถานที่ทำงานที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิง Catalyst ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2505 และช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยงานวิจัยบุกเบิก เครื่องมือที่ใช้งานได้จริง และโซลูชันที่ผ่านการทดสอบแล้ว เพื่อเร่งให้ผู้หญิงก้าวสู่การเป็นผู้นำ เพราะความก้าวหน้าของผู้หญิงคือความก้าวหน้าของทุกคน
ติดต่อ:
Naomi R. Patton
Vice President, Media & Public Relations
Catalyst
npatton@catalyst.org
Stephanie Wolf
US Communications Consultant
Catalyst
stephanie@stephaniewolfpr.com
Francine Beck
Canada Communications Consultant
Catalyst
francine@fbstrategiesgroup.com
Frances Knox
EMEA Communications Consultant
Catalyst
frances@frankly-pr.co.uk
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/732308/Catalyst_Tagline_Logo.jpg?p=medium600