ยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตจากไต้หวันและบริษัทข้ามชาติจากเยอรมนี จับมือกันลดการปล่อยคาร์บอนและประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิต
ไทจง, ไต้หวัน--5 กันยายน 2565--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
บริษัท คิง สตีล แมชชีนเนอรี (King Steel Machinery Co.) จากไต้หวัน และ ซีเมนส์ (Siemens) กลุ่มบริษัทข้ามชาติจากเยอรมนี ได้ผนึกกำลังกันและสร้างความร่วมมือกับบริษัท หรูยี่ ออโตเมชัน (Ruhyih Automation) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์อุปกรณ์อุตสาหกรรม เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลทวิน (Digital Twin) มาใช้กับเครื่องจักรฉีดขึ้นรูปพลาสติก ข้อตกลงนี้จะช่วยส่งเสริมการลดคาร์บอนและลดใช้พลังงานทั่วทั้งอุตสาหกรรม ด้วยการประหยัดพลังงานตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิต โดยทั้งสามบริษัทจะช่วยกันผลักดันไต้หวันให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกในด้านการผลิตที่ยั่งยืน
ยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตจากไต้หวันและบริษัทข้ามชาติจากเยอรมนี จับมือกันลดการปล่อยคาร์บอนและประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิต
ผู้แทนของทั้งสามบริษัทได้มาพบปะพูดคุยกันในการประชุมสภาธุรกิจร่วมไต้หวัน-เยอรมนี ครั้งที่ 20 (20th Taiwan-Germany Joint Business Council Meeting) ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงเศรษฐกิจของทั้งไต้หวันและเยอรมนีได้มาร่วมหารือเกี่ยวกับโครงการริเริ่มด้านเศรษฐกิจและความยั่งยืน สำหรับไฮไลต์ของงานนี้คือการลงนามข้อตกลงความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างซีเมนส์ ไต้หวัน, คิง สตีล และหรูยี่ ออโตเมชัน อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สามบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตได้ร่วมมือกัน โดยเมื่อปีที่แล้ว ทั้งสามบริษัทได้ผนึกกำลังกันส่งเสริมอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) โดยแต่ละบริษัทต่างนำเสนอความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของตนเอง
ความร่วมมือสามฝ่ายครั้งนี้หาใครเทียบได้ยาก โดยซีเมนส์ ไต้หวัน อุทิศตนให้กับการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0, การผลิตอัจฉริยะ และโซลูชันอัตโนมัติมาสักระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่คิง สตีล ก็เป็นผู้บุกเบิกการผลิตเครื่องจักรผลิตโฟมยืดหยุ่น (Elastic Foam) บริษัทมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลักดันวิสัยทัศน์การผลิตที่ยั่งยืนทั่วทั้งอุตสาหกรรมการผลิตรองเท้าและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ส่วนทางด้านหรูยี่ ออโตเมชัน ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายของซีเมนส์ ก็มีความเชี่ยวชาญด้านบริการทางเทคนิคและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมระบบควบคุมอัตโนมัติ
การบรรลุข้อตกลงครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นการผนึกกำลังกันอีกครั้งระหว่างสามบริษัทชั้นนำระดับโลกซึ่งเป็นตัวแทนของไต้หวันและเยอรมนี เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงาน การลดคาร์บอน และความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ตลอดจนเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนา ESG 4.0 ซึ่งเป็นการบูรณาการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เข้ากับอุตสาหกรรม 4.0