ลอนดอน, 18 เมษายน 2566 /PRNewswire/ -- เมื่อว่ากันในเรื่องจำนวนเศรษฐีที่มีถิ่นพำนักถาวรตามเมืองต่าง ๆ แล้ว หลายเมืองของสหรัฐอเมริกาและจีนติดอันดับเมืองที่ร่ำรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก (World's Top 10 Wealthiest Cities) ในขณะที่มีเพียงเมืองเดียวของยุโรปอย่างลอนดอนเท่านั้นที่ติดอันดับในปี 2566 ตามรายงานที่ประกาศเผยแพร่ในวันนี้โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศอย่างเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) ร่วมกับบริษัทข้อมูลความมั่งคั่งระดับโลกอย่างนิว เวิลด์ เวลธ์ (New World Wealth)
มหานครนิวยอร์กครองตำแหน่งเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในโลกด้วยจำนวนเศรษฐี 340,000 คน ขณะที่ศูนย์กลางความมั่งคั่งของอเมริกาอีก 2 แห่ง ได้แก่ ย่านอ่าวซานฟรานซิสโกและลอสแอนเจลิส อยู่ในอันดับที่ 3 และ 6 โดยมีผู้ลงทุนรายใหญ่ (high-net-worth individual หรือ HNWI) อาศัยอยู่ 285,000 คน และ 205,400 คน ตามลำดับ (หมายเหตุ: HNWI หมายถึงผู้ที่มีความมั่งคั่งที่สามารถลงทุนได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตัวเลขทั้งหมดถูกปัดเศษให้เป็นหลัก 100 ที่ใกล้เคียงที่สุด)
โตเกียวซึ่งครองอันดับหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตกไปอยู่อันดับ 2 ด้วยจำนวนเศรษฐี 290,300 คน และลอนดอน ซึ่งเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายปี หล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 4 โดยมี HNWI อาศัยอยู่ 258,000 คน ส่วนสิงคโปร์ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อการทำธุรกิจมากที่สุดในโลกและเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับเศรษฐีที่ย้ายถิ่นฐาน อยู่ในอันดับที่ 5 ซึ่งมีจำนวนเศรษฐีอาศัยอยู่ 240,100 คน ในขณะที่ซิดนีย์อยู่ในอันดับที่ 10 มีเศรษฐี 126,900 คน ย่านชานเมืองของซิดนีย์เป็นที่ตั้งของที่พักอาศัยหรูหราอันดับต้น ๆ ของโลก และมีการเติบโตของความมั่งคั่งมากเป็นพิเศษในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะก้าวขึ้นเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุด 5 อันดับแรกของโลกภายในปี 2583
ประเทศจีนมีสามเมืองที่ติด 10 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง (จำนวนเศรษฐี 129,500 คน) ปักกิ่ง (128,200 คน) และเซี่ยงไฮ้ (127,200 คน) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 7, 8 และ 9 ตามลำดับ ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ต่างก็ไต่อันดับขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ฮ่องกงกลับร่วงลงจากอันดับ 4 ในปี 2555 ลงมาอยู่ที่อันดับ 7 ในปัจจุบัน
ดร. ยอร์ก สเตฟเฟน (Dr. Juerg Steffen) ซีอีโอของเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า "7 ใน 10 เมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นเมืองที่อยู่ในประเทศที่มีโครงการลงทุนเพื่อขอย้ายถิ่นฐาน (investment migration program) อย่างเป็นทางการ และสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อแลกกับสิทธิการพำนักถาวรหรือการเป็นพลเมือง"
สหรัฐอเมริกาและจีนยังมีหลายเมืองที่กวาดอันดับเมืองที่เติบโตเร็วที่สุด 10 อันดับแรกด้วย เมื่อดูจากจำนวนเศรษฐีที่มีถิ่นพำนักถาวรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยหนึ่งในสถานที่พักผ่อนตากอากาศยอดนิยมตลอดกาลของจีนอย่างเมืองหางโจว มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 105% ระหว่างปี 2555-2565 ขณะที่เซินเจิ้นและเมืองท่ากวางโจวก็มีจำนวน HNWI เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 98% และ 86% ตามลำดับ ส่วนเมืองที่มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดสามแห่งในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ออสติน (มีจำนวน HNWI ที่อาศัยอยู่เพิ่มขึ้น 102%) เวสต์ปาล์มบีช (90%) และสกอตส์เดล (88%) อินเดียมีสองเมืองที่ติด 10 อันดับแรก คือ เบงกาลูรู (88%) และไฮเดอราบัด (78%) และสองเมืองสุดท้ายตกเป็นของเมืองชาร์จาห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (84%) และโฮจิมินห์ซิตี้ในเวียดนาม (82%) ซึ่งเป็นเมืองที่กำลังมาแรงในฐานะศูนย์กลางความมั่งคั่งขนาดใหญ่แห่งต่อไปของเอเชีย
แอนดรูว์ อมอยล์ส (Andrew Amoils) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของนิว เวิลด์ เวลธ์ เปิดเผยว่า แม่เหล็กที่ดึงดูดความมั่งคั่งมาอย่างยาวนานก็เติบโตอย่างมากเป็นพิเศษในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา "โดยโมนาโกซึ่งอาจเป็นที่หลบภัยทางการเงินอันดับแรกของโลกสำหรับอภิมหาเศรษฐี มีความมั่งคั่งเฉลี่ยต่อคนเกิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้เป็นเมืองอันดับหนึ่งเมื่อพิจารณาจากความมั่งคั่งต่อหัว นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่แพงที่สุดในโลกด้วย เพราะอพาร์ทเมนต์มีราคาสูงกว่า 35,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตร ดูไบก็เป็นศูนย์กลางความมั่งคั่งระดับนานาชาติชั้นนำอีกแห่ง ด้วยอัตราภาษีที่ต่ำ ทำให้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดเศรษฐีเงินล้านจากทั่วโลก โดยในปี 2565 เพียงปีเดียวนั้นมีผู้ลงทุนรายใหญ่ประมาณ 3,500 คนย้ายเข้าเมืองนี้"
อ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับเต็มและรายงานเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2566