ปักกิ่ง, 18 ต.ค. 2566 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ดาต้าเซ็ต
เซอร์เบียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ประโยชน์จากโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) หรือ BRI โดยมีโรงถลุงเหล็กอายุนับศตวรรษในเมืองสเมเดเรโว (Smederevo) ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นตัวอย่างที่สำคัญ โดยโรงเหล็กสเมเดเรโวก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2456 และในช่วงที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด เคยทำรายได้ถึง 40% ให้กับเมือง จนเป็นที่รู้จักในนาม "ความภาคภูมิใจของเซอร์เบีย"
แต่ต่อมาเพราะการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงขึ้นและการดำเนินงานที่ย่ำแย่ โรงเหล็กแห่งนี้จึงเริ่มขาดทุนปีแล้วปีเล่าจนเกือบล้มละลาย รัฐบาลเซอร์เบียเคยเสนอขายให้ต่างประเทศหลายครั้งแต่ทุกครั้งล้มเหลว พนักงานกว่า 5,000 คนเผชิญความไม่แน่นอนในปี 2559 จนกระทั่งเหอเป่ย์ ไอออน แอนด์ สตีล กรุ๊ป (Hebei Iron and Steel Group) ของจีนเข้ามาตั้งเอชบีไอเอส เซอร์เบีย สตีล (HBIS Serbia Steel) พร้อมแนะนำการจัดการและเทคโนโลยีขั้นสูงให้ เปลี่ยนโรงเหล็กแห่งนี้ให้กลายเป็นองค์กรระดับโลกที่เน้นลูกค้าและห่วงโซ่อุปทาน จากนั้นบริษัทก็บูรณาการเข้ากับ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" และกระบวนการโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ สร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในฐานะองค์กรเหล็กที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงของยุโรปและเป็นตัวอย่างของความร่วมมือทางอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ
ความร่วมมือ BRI ระหว่างจีนกับยุโรป
การฟื้นตัวของโรงเหล็กอายุนับศตวรรษเป็นตัวอย่างที่ดีของประโยชน์ที่ BRI มอบให้กับยุโรป โดย 26 ประเทศในยุโรปได้ลงนามร่วมโครงการ BRI กับจีน ภายใต้ความร่วมมือ BRI การนำเข้าของจีนจาก EU ระหว่างปี 2559-2564 เพิ่มขึ้น 63.7% ขณะที่การนำเข้าของจีนจากประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกเพิ่มขึ้น 127.3% ในช่วงเดียวกัน รถไฟด่วนไชน่า เรลเวย์ เอ็กซ์เพรส (China Railway Express) ที่เชื่อมโยงหลายเมืองยูเรเชียทางชายฝั่งตะวันออกของจีนเข้ากับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ก็พลุกพล่านมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีรถไฟวิ่งผ่านเส้นทางระหว่างจีนกับยุโรป 16,000 ขบวน แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับช่วงการเปิดตัวไชน่า เรลเวย์ เอ็กซ์เพรส เมื่อกว่าทศวรรษที่แล้วที่มีเพียง 80 ขบวน
ความท้าทายใหม่ ๆ
เมื่อเทียบกับช่วงสองสามปีแรกของโครงการ สถานการณ์ระหว่างจีนกับยุโรปมีความแตกต่างกันอย่างมาก ความสัมพันธ์แบบทวิภาคีจำเป็นต้องได้รับการปรับเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและความท้าทาย รวมถึงต้องยกระดับกรอบความคิดเพื่อแทนที่แนวคิดแบบ "ถ้ามีคนชนะก็ต้องมีคนแพ้" ที่ล้าสมัยแล้ว หวัง อี้ (Wang Yi) นักการทูตอาวุโสของจีน ได้กล่าวในการเจรจายุทธศาสตร์ระดับสูงจีน-EU ครั้งที่ 12 ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จีนกับ EU คือหุ้นส่วนกัน ไม่ใช่คู่แข่งกัน และต่างก็มีความเข้าใจร่วมกันมากกว่าความแตกต่าง ขณะที่โจเซป บอร์เรล (Josep Borrell) รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า แม้ว่าระบบการเมืองและเศรษฐกิจจะแตกต่างกัน แต่ EU กับจีนก็สนใจจะสานต่อความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์และมั่นคงร่วมกัน
ขณะเดียวกัน BRI ก็กำลังก้าวสู่ระยะใหม่เช่นกัน โดยในระยะเริ่มต้น ผู้รับเหมาทั้งเอกชนและของรัฐคือผู้นำในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งโครงการเหล่านี้ได้ช่วยสานต่อไมตรีจิตทางการเมืองและส่งเสริมพันธมิตรทางธุรกิจในท้องถิ่น และต้องขอบคุณคนกลุ่มนี้ที่ทำให้บริษัทเอกชนของจีนดำเนินธุรกิจในประเทศหุ้นส่วน BRI ได้สบายใจขึ้น ทั้งนี้โดยจีนสนับสนุนให้องค์กรเอกชนมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นและมีส่วนร่วมในโครงการ "เล็กและงดงาม" ซึ่งหมายถึงโครงการเล็ก ๆ ที่ยกระดับความเป็นอยู่ในท้องถิ่นได้โดยตรง โดยการลงทุนใหม่ ๆ ที่ได้รับความนิยมได้แก่ธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น พลังงานใหม่, การดูแลสุขภาพ, การสื่อสารเคลื่อนที่ และอีคอมเมิร์ซ
ยังต้องเจรจาต่อ
นับตั้งแต่เปิดตัว BRI พันธมิตรทั่วโลกได้พยายามค้นหากรอบทฤษฎีและการจัดการเชิงสถาบันเพิ่มเพื่อให้โครงการร่วมมือระดับโลกนี้มีความยั่งยืน ซึ่งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้เสนอความริเริ่มการพัฒนาโลก (Global Development Initiative), ความริเริ่มความมั่นคงโลก (Global Security Initiative) และความริเริ่มอารยธรรมโลก (Global Civilization Initiative) และความริเริ่มเหล่านี้ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมโลกด้วยมีส่วนสนับสนุนการกำกับดูแลสิทธิมนุษยชนของโลกในประเด็นเฉพาะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การพัฒนา และความหลากหลายทางวัฒนธรรม
เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่จีนและยุโรปจะดำเนินการเจรจาเพิ่มเติมในประเด็นเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ โดย CGTN จะเป็นเจ้าภาพจัดเสวนาทางโทรทัศน์นอกรอบในงานแฟรงก์เฟิร์ต บุ๊ค แฟร์ (Frankfurt Book Fair) ปีนี้ ภายใต้หัวข้อ "ความริเริ่มของจีนกับ BRI: โอกาสหรือความเสี่ยง?" (China's Global Initiatives and the BRI: Opportunities or Risks?)
ผู้ร่วมเสวนา ก็ได้แก่ ดานิโล เติร์ก (Danilo Türk) อดีตประธานาธิบดีสโลวีเนีย, มิคาเอล ชูมันน์ (Michael Schumann) ประธานคณะกรรมการสมาคมสหพันธรัฐเยอรมนีเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศ, รูดอล์ฟ ชาร์ปิง (Rudolf Scharping) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี, ซูซาน เบามันน์ (Susanne Baumann) อดีตผู้อำนวยการสถาบันขงจื๊อแห่งดึสเซิลดอร์ฟ และจง หง (Zhong Hong) อดีตรองประธานอาวุโสของอีโวนิค อินดัสตรีส์ (Evonik Industries) ทั้งนี้โดยผู้ร่วมเสวนาจะอภิปรายเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์จีน-EU ภายใต้โครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงเสถียรภาพและความรุ่งเรืองของโลกด้วย