บาร์เซโลนา, สเปน, 7 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/
YOFC’s theme video for MWC Barcelona 2024
บริษัทร่วมหุ้น แยงซี ออปติคัล ไฟเบอร์ แอนด์ เคเบิล จำกัด (Yangtze Optical Fibre and Cable Joint Stock Limited Company หรือ YOFC) ผู้นำระดับโลกด้านสายใยแก้วนำแสง (สายไฟเบอร์ออปติก) และโซลูชันครบวงจร ได้สร้างความประทับใจในงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส บาร์เซโลนา ประจำปี 2567 (MWC Barcelona 2024) เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในโอกาสนี้ YOFC ได้นำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดด้านเทคโนโลยีใยแก้วนำแสง และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในหัวข้อ "เชื่อมต่ออนาคตด้วยใยแก้วนำแสง" ทั้งนี้ งาน MWC Barcelona 2024 ในธีม "Future First" ถือเป็นเวทีรวมตัวของผู้นำและผู้พลิกโฉมอุตสาหกรรมดิจิทัล ที่มาร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและพูดคุยเกี่ยวกับวิถีแห่งอนาคตดิจิทัล โดยหัวข้อในการอภิปรายครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนต่อไปของ 5G, ปัญญาประดิษฐ์ของสรรพสิ่ง (AIoT), บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของมนุษย์, ความก้าวหน้าด้านการผลิตอัจฉริยะ ไปจนถึงการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่และสาระสำคัญเชิงดิจิทัล โดยการที่ YOFC เข้าร่วมงานนี้ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับยุคดิจิทัล พร้อมวางตำแหน่งองค์กรให้เป็นแนวหน้าในการกำหนดวิธีที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงเราทุกคนเข้าด้วยกัน
ในฐานะหัวหอกของการปฏิวัติเทคโนโลยีและพลิกโฉมอุตสาหกรรมทั่วโลก AI ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน การใช้ชีวิต และการเรียนรู้ของเราจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยนำเราเข้าสู่ยุคใหม่ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรที่สอดประสานกัน การบูรณาการอย่างไร้รอยต่อ และนวัตกรรมการทำงานร่วมกัน ยุคอัจฉริยะนี้กำลังก่อให้เกิดเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันใหม่มากมาย ตั้งแต่การค้าแบบ Extended Reality (XR) และการชมภาพ 3 มิติแบบไม่ต้องสวมแว่นตา ไปจนถึงอินเทอร์เฟซระบบสัมผัสแบบดิจิทัลและระบบบูรณาการที่ผสานพื้นที่อยู่อาศัยเข้ากับการเดินทางรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งความก้าวหน้าเหล่านี้ตอกย้ำถึงความต้องการอินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและการส่งข้อมูลที่เสียเวลาน้อยลง ปัจจุบัน เครือข่ายมือถือถูกตั้งความหวังว่าต้องมีความเร็วระดับ 10Gbps และมีเวลาแฝงหรือความล่าช้าในเครือข่ายไม่กี่มิลลิวินาที ดังนั้น เครือข่ายใยแก้วนำแสงคุณภาพสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเชื่อมต่อทุกสิ่ง ขณะเดียวกัน บริการและแอปพลิเคชันอัจฉริยะที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็ได้ผลักดันการสื่อสารผ่านใยแก้วนำแสงไปสู่ขีดจำกัดใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่ความจุของช่องสัญญาณในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน การสูญเสียสัญญาณแสงน้อยที่สุด และเวลาแฝงต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของเราสามารถรองรับนวัตกรรมคลื่นลูกใหม่ได้
คุณจวง ตัน (ZHUANG Dan) กรรมการบริหารและประธานของ YOFC ได้อธิบายถึงจุดยืนของบริษัทในการตอบสนองต่อความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายอัจฉริยะที่มีความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยระบุว่า YOFC ได้พัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ i-Fibre ซึ่งเป็นโซลูชันสายใยแก้วนำแสงยุคอัจฉริยะที่มีความจุของช่องสัญญาณสูงเป็นพิเศษ มีการสูญเสียสัญญาณแสงน้อยที่สุด มีเวลาแฝงต่ำมาก พร้อมความสามารถในการตรวจจับแบบบูรณาการ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยนวัตกรรมเหล่านี้พร้อมที่จะสนับสนุนแกนหลักของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะระดับโลกที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการดึงศักยภาพมหาศาลของโลกอัจฉริยะออกมาใช้
G.654.E คือสายใยแก้วนำแสงเจเนอเรชันใหม่ของ YOFC มาพร้อมคุณสมบัติระดับแนวหน้าด้วยค่าความไม่เป็นเชิงเส้น (non-linearity) และค่าการลดทอนของสัญญาณ (attenuation) ในระดับต่ำ สามารถรองรับแบนด์วิดท์ได้มากและเวลาแฝงต่ำตลอดระยะติดตั้งสายใยแก้วนำแสง โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายขั้นสูงที่ต้องรองรับการส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นในยุคดิจิทัล และอุตสาหกรรมให้การยอมรับว่าเป็นใยแก้วนำแสงที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับ 400G, 800G และเทคโนโลยีการส่งข้อมูลความเร็วสูงพิเศษเทราบิตต่อวินาทีในอนาคต โดยสายใยแก้วนำแสง G.654.E ของ YOFC ได้รับการติดตั้งไปแล้วเกือบ 2 ล้านคอร์กิโลเมตรทั่วโลก และเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของบริษัทชั้นนำอย่าง ไชน่า โมบาย (China Mobile), ไชน่า เทเลคอม (China Telecom), ไชน่า ยูนิคอม (China Unicom) และ สเตตกริด (State Grid) อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ทั่วประเทศฟิลิปปินส์และบราซิล ความเป็นผู้นำของ YOFC ในอุตสาหกรรมใยแก้วนำแสงได้รับการตอกย้ำด้วยความสำเร็จเหล่านี้ ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของบริษัทในการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโลกของเราเข้าด้วยกัน
ขณะเดียวกัน YOFC ยังคงอยู่ในแนวหน้าของการพัฒนานวัตกรรมใยแก้วนำแสง บริษัทใช้ห้องปฏิบัติการหลักระดับชาติสำหรับใยแก้วนำแสง เพื่อพัฒนาใยแก้วนำแสงขั้นสูงที่สามารถกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม โดยคุณจวงระบุว่า ใยแก้วนำแสงแบบสเปซดิวิชันมัลติเพล็กซ์ (SDM) และใยแก้วนำแสงแบบแกนกลางกลวง (hollow-core) คืออนาคตของเทคโนโลยีใยแก้วนำแสง
ใยแก้วนำแสง SDM รวมถึงใยแก้วนำแสงแบบ multicore และ few-mode มอบศักยภาพในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการสื่อสารแบบทวีคูณ ด้วยประสิทธิภาพมากกว่าใยแก้วนำแสงแบบทั่วไป 4 ถึง 8 เท่า นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของ YOFC ในการผลิตใยแก้วนำแสงที่ล้ำสมัยเหล่านี้ในปริมาณมาก โดยใช้วัสดุ วิธีการผลิต และอุปกรณ์ทดสอบที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ยังทำให้บริษัทมีความโดดเด่นและแตกต่างจากผู้อื่นในอุตสาหกรรม บริษัทได้เริ่มดำเนินการทดสอบนำร่องโดยร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อทดสอบการใช้งานจริงและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้ สำหรับความสำเร็จครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2566 โดย YOFC ได้ทดสอบเครือข่ายใยแก้วนำแสงแบบ 4 คอร์ และ 7 คอร์เป็นครั้งแรกของโลก ด้วยการร่วมมือกับไชน่า โมบาย กรุ๊ป ดีไซน์ อินสทิทิวท์ (China Mobile Group Design Institute) และบริษัทในเครือไชน่า โมบาย ในมณฑลซานตง ซึ่งการทดสอบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้งานเชิงวิศวกรรมและการนำใยแก้วนำแสงแบบ multicore มาใช้ในวงกว้าง เพื่อปฏิวัติภูมิทัศน์โทรคมนาคมด้วยขีดความสามารถและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
ด้านเทคโนโลยีใยแก้วนำแสงแบบแกนกลางกลวงของ YOFC ได้แทนที่แกนกลางที่เป็นแก้วด้วยก๊าซหรือสุญญากาศ โดยใช้อากาศในการนำแสง ส่งผลให้สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วกว่าใยแก้วนำแสงทั่วไปถึง 47% ซึ่งช่วยลดเวลาแฝงและเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายได้อย่างมาก นวัตกรรมดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในวิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยจะเข้ามาปฏิวัติประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูล นอกจากนี้ ความสามารถของ YOFC ในการพัฒนาวัตถุดิบสำคัญและผลิตใยแก้วนำแสงแบบแกนกลางกลวงที่มีความยาวหลักกิโลเมตร ยังตอกย้ำจุดยืนของบริษัทในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมใยแก้วนำแสงอีกด้วย
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี พ.ศ. 2531 YOFC ได้ผลิตและส่งมอบใยแก้วนำแสงความยาวรวมกว่า 1 พันล้านกิโลเมตร ซึ่งช่วยให้การสร้างเครือข่ายการสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ระดับโลกเพื่อขยายการดำเนินงานในต่างประเทศ โดยคุณจวง ในฐานะประธานของ YOFC ได้นำพาบริษัทไปสู่การมีส่วนร่วมในระดับสากลมากขึ้น โดยอาศัยเวทีต่าง ๆ เช่น งาน MWC เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของบริษัท และความมุ่งมั่นในการบูรณาการตลาดโลก โดยการปรากฏตัวในมหกรรมที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ YOFC มีเป้าหมายที่จะแสดงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี รวมถึงความทุ่มเทในการทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในระดับโลก ขณะเดียวกัน ความพยายามของบริษัทในการส่งมอบเทคโนโลยี i-Fibre ที่ล้ำสมัยไปทั่วทุกมุมโลก ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่ออัจฉริยะ พร้อมทั้งขับเคลื่อนสังคมเข้าสู่ยุคอัจฉริยะไปด้วยกัน