- ผลวิจัยชี้กระดูกสุนัขที่พบในหลุมฝังศพทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย มีอายุเก่าแก่ราว 4200-4000 ปีก่อนคริสตกาล
- จากการสำรวจพบว่ามนุษย์โบราณในภูมิภาคนี้มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด โดยตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีมีการฝังศพในลักษณะอนุสรณ์สถาน ซึ่งตั้งใจให้มองเห็นชัดเจน
อัลอูลา, ซาอุดีอาระเบีย, 25 มีนาคม 2564 /PRNewswire/ -- ทีมนักโบราณคดีในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ค้นพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัขบ้านของมนุษย์โบราณ
การค้นพบดังกล่าวเป็นผลสำเร็จของหนึ่งในหลายโครงการภายใต้การสำรวจและการขุดค้นทางโบราณคดีครั้งใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Royal Commission for AlUla (RCU)
คณะนักวิจัยค้นพบกระดูกสุนัขในหลุมฝังศพซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาระเบีย โดยมีอายุใกล้เคียงกับหลุมฝังศพหลายแห่งที่ค้นพบในภูมิภาคเลอแวนต์ (Levant)
หลักฐานบ่งชี้ว่ามีการใช้หลุมฝังศพดังกล่าวเป็นครั้งแรกราว 4300 ปีก่อนคริสตกาล และใช้ในการฝังศพต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 600 ปี ตั้งแต่ช่วงยุคหินใหม่ (Neolithic) ถึงยุคทองแดง (Chalcolithic) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์โบราณอาจมีความทรงจำร่วมกันเกี่ยวกับคน สถานที่ และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
"สิ่งที่เราค้นพบจะเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อยุคหินใหม่ในตะวันออกกลาง เพราะความทรงจำในลักษณะนี้ นั่นคือการที่มนุษย์โบราณรู้ว่าเครือญาติของตนเองถูกฝังไว้ที่ไหนต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปี เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในภูมิภาคนี้" Melissa Kennedy ผู้ช่วยผู้อำนวยการ Aerial Archaeology in the Kingdom of Saudi Arabia (AAKSAU) โปรเจคอัลอูลา กล่าว
"อัลอูลาคือจุดที่ทำให้เราเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของวิวัฒนาการของมนุษย์ทั่วตะวันออกกลาง" Hugh Thomas ผู้อำนวยการ AAKSAU กล่าว
นี่คือหลักฐานเกี่ยวกับสุนัขบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในอาระเบีย โดยเก่าแก่กว่าที่เคยค้นพบก่อนหน้านี้ราว 1,000 ปี
ผลการค้นพบดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Field Archaeology
ทีมงานที่ประกอบด้วยสมาชิกชาวซาอุดีอาระเบียและชาวต่างชาติให้ความสำคัญกับหลุมฝังศพเหนือพื้นดินสองจุดที่คาดว่าสร้างขึ้นในช่วง 5000-4000 ปีก่อนคริสตกาล และตั้งอยู่ห่างกัน 130 กิโลเมตร โดยแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในที่สูงแถบภูเขาไฟ และอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในที่รกร้างแห้งแล้ง โดยทั้งสองจุดอยู่เหนือพื้นดิน ซึ่งค่อนข้างแปลกเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์อาระเบียในยุคนั้น และมีการจัดวางให้มองเห็นชัดเจนที่สุด
ทีมวิจัยค้นพบหลุมฝังศพด้วยภาพจากดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศจากเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นการขุดค้นได้เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2018
หลุมฝังศพที่ตั้งอยู่ในที่สูงแถบภูเขาไฟเป็นจุดที่ค้นพบกระดูก 26 ชิ้นของสุนัขตัวหนึ่ง พร้อมกับกระดูกของมนุษย์ 11 คน โดยเป็นผู้ใหญ่ 6 คน วัยรุ่น 1 คน และเด็ก 4 คน
กระดูกของสุนัขพบร่องรอยของโรคข้ออักเสบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสุนัขตัวนี้อยู่กับมนุษย์จนมีอายุค่อนข้างมากหรืออายุมาก
หลังจากรวบรวมกระดูกทั้งหมด ทีมงานต้องพิสูจน์ว่ากระดูกเหล่านี้มาจากสุนัข ไม่ได้มาจากสัตว์ชนิดอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน อย่างเช่นหมาป่าทะเลทราย
Laura Strolin นักสัตววิทยาโบราณคดีของทีม สามารถพิสูจน์ได้ว่ากระดูกเหล่านี้เป็นของสุนัขจริง ๆ ด้วยการวิเคราะห์กระดูกจากขาหน้าซ้าย โดยความกว้างของกระดูกชิ้นนี้อยู่ที่ 21.0 มิลลิเมตร หรือเท่า ๆ กับของสุนัขโบราณตัวอื่น ๆ ที่พบในตะวันออกกลาง ขณะที่กระดูกส่วนดังกล่าวของหมาป่าในยุคเดียวกันและสถานที่เดียวกัน มีความกว้างราว 24.7 ถึง 26 มิลลิเมตร
กระดูกสุนัขดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ราว 4200-4000 ปีก่อนคริสตกาล
นอกจากนั้นยังมีการค้นพบงานศิลปะบนหิน ซึ่งบ่งชี้ว่ามนุษย์ยุคหินใหม่ใช้สุนัขในการล่าแพะภูเขา (ibex) ลาป่า (wild ass) และสัตว์อื่น ๆ
การขุดค้นทำให้พบสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง โดยบริเวณที่สูงแถบภูเขาไฟมีการค้นพบจี้เปลือกหอยมุกรูปทรงใบไม้ ส่วนบริเวณที่รกร้างแห้งแล้งมีการค้นพบลูกปัดหินคาร์เนเลียน
คณะนักวิจัยคาดว่าจะค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างในอนาคต อันเป็นผลมาจากการสำรวจครั้งใหญ่ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน รวมถึงการขุดค้นหลายจุดในเมืองอัลอูลาโดยฝีมือของ AAKSAU และทีมอื่น ๆ ซึ่งปฏิบัติงานภายใต้การสนับสุนนของ Royal Commission for AlUla (RCU) โดยทีม AAKSAU นำโดยคณะนักวิจัยจาก University of Western Australia ในเมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย
คณะนักวิจัยกล่าวว่า เมืองอัลอูลาตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีมรดกทางโบราณคดีมากมายซึ่งมีคุณค่าในระดับโลก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองอัลอูลายังไม่ได้รับการสำรวจ
"บทความนี้ซึ่งกล่าวถึงการทำงานของ RCU ในเมืองอัลอูลาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ หลังจากนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ค้นพบ เพราะเรากำลังขุดลึกลงไปและขยายวงกว้างขึ้น" Rebecca Foote ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยมรดกทางวัฒนธรรมและโบราณคดีของ RCU กล่าว
สำหรับแง่มุมอื่น ๆ ของการขุดค้นทางโบราณคดีครั้งยิ่งใหญ่นี้จะได้รับการนำเสนอผ่านสารคดี Architects of Ancient Arabia ทางช่อง Discovery Channel ซึ่งจะออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม
ความพยายามทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Royal Commission for AlUla ในการเชิดชูประวัติศาสตร์และมรดกของประเทศ รวมทั้งเปลี่ยนเมืองอัลอูลาให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030
เกี่ยวกับอัลอูลา
อัลอูลา อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ห่างจากกรุงริยาด 1,100 กิโลเมตร รุ่มรวยด้วยมรดกของมนุษย์และธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ พื้นที่อันกว้างขวาง 22,561 ตารางกิโลเมตร มีทั้งหุบเขาอันเขียวชอุ่ม ภูเขาหินทรายตั้งตระหง่าน และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอายุเก่าแก่หลายพันปี
สถานที่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในอัลอูลาคือเมืองโบราณเฮกรา (Hegra) แหล่งมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เมืองโบราณแห่งนี้มีพื้นที่ 52 เฮกตาร์ และเคยเป็นเมืองสำคัญทางตอนใต้ของราชอาณาจักรแนบาเทีย โดยมีสุสานเกือบ 100 แห่งที่ยังอยู่ในสภาพดีและมีการตกแต่งผนังภายนอกอย่างวิจิตรงดงามด้วยการขุดภูเขาหินทราย ผลวิจัยบ่งชี้ว่าเฮกราคือดินแดนใต้สุดของอาณาจักรโรมัน หลังจากเอาชนะราชอาณาจักรแนบาเทียในคริสตศักราช 106
นอกจากเมืองโบราณเฮกราแล้ว อัลอูลายังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น เมืองโบราณดาดัน (Dadan) เมืองหลวงของราชอาณาจักรดาดัน ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่เจริญที่สุดในคาบสมุทรอาหรับในช่วง 1000 ปีก่อนคริสตกาล รวมถึงการจารึกและงานศิลปะบนหินหลายพันชิ้น และสถานีรถไฟฮิญาซ
เกี่ยวกับ Royal Commission for AlUla
Royal Commission for AlUla (RCU) ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาในเดือนกรกฎาคมปี 2017 เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ แผนการระยะยาวของ RCU คือการพัฒนาเศรษฐกิจและเมืองด้วยความรวดเร็ว รับผิดชอบ และยั่งยืน พร้อมกับอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางการอยู่อาศัย ทำงาน และท่องเที่ยว เป้าหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดโครงการมากมายทั้งในด้านโบราณคดี การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การสร้างพลังให้กับชุมชน และการอนุรักษ์มรดกตกทอดตามวิสัยทัศน์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย
โครงการพัฒนาอื่น ๆ ของ RCU
ตลอดสามปีที่ผ่านมา RCU ได้ดำเนินโครงการพัฒนาหลายโครงการร่วมกับพันธมิตรจากทั่วโลก เช่น การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินอัลอูลา 300% และการสร้างมารายา (Maraya) ซึ่งเป็นอาคารกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและอาคารอเนกประสงค์ระดับรางวัลขนาด 500 ที่นั่ง ซึ่งสามารถรองรับการประชุมและการจัดกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ โดยได้จัดอีเวนต์ระดับโลกมาแล้ว เช่น การประชุม Hegra Conference of Nobel Laureates และเทศกาลวัฒนธรรม Winter at Tantora โดยได้ต้อนรับศิลปินดังอย่าง Andrea Bocelli และ Lang Lang นอกจากนั้นยังมีโครงการพัฒนารีสอร์ทหรูร่วมกับ Accor, Habitas, Aman และ Jean Nouvel
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/1473491/image_1_1.jpg?p=medium600
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/1473492/image_2_1.jpg?p=medium600
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/1473493/image_3_1.jpg?p=medium600
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/1473494/image_4_1.jpg?p=medium600
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/1473495/image_5_1.jpg?p=medium600