บรรลุความสำเร็จร่วมกันในเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้สังคม
เซินเจิ้น, จีน--21 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ZTE Corporation (0763.HK / 000063.SZ) ผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลกด้านโซลูชันโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมือถือสำหรับองค์กรและผู้บริโภค ประกาศรายงานความยั่งยืนประจำปี 2563 ของบริษัท
รายงานฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ZTE ได้ปฏิบัติตามความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรแบบเชิงรุกในปี 2563 ตามการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในการเป็น "ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล" ในขณะเดียวกัน ZTE ได้พยายามอย่างมากในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและบรรลุการเติบโตสีเขียว ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ บริษัทได้มีส่วนช่วยเหลือชุมชนทั่วโลก และปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและแผนการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่องสำหรับอนาคต
ZTE ได้เปิดเผยรายงานความยั่งยืนเป็นประจำทุกปีเป็นเวลา 13 ปีติดต่อกันแล้ว
ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกวิถีทาง
เมื่อเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกะทันหันในช่วงต้นปี 2563 บริษัท ZTE ได้เปิดใช้งานกลไกตอบสนองฉุกเฉิน เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคระบาดทันที โดย ZTE ได้แบกรับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรและดำเนินการเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ผ่านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ พร้อมกับใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน
ZTE ได้ประสานทรัพยากรทั่วโลกอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 ครอบคลุมถึงการผลิตและการจัดจำหน่าย การสร้างเครือข่าย การสื่อสารที่รับประกัน บริการนอกสถานที่ แอปพลิเคชันบริการ และอื่น ๆ ZTE ได้สร้างเครือข่าย 4G/5G กับผู้ให้บริการสำหรับโรงพยาบาลมากกว่า 210 แห่งใน 82 เมือง และบ้านใน 26 มณฑล เพื่อเชื่อมช่องว่างการสื่อสารที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิต เมื่อโรคระบาดรุนแรงขึ้น ZTE ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชั่นล้ำสมัย ซึ่งรวมถึงโทรเวชกรรมหรือการแพทย์ทางไกลที่ใช้ 5G, โลจิสติกส์อัจฉริยะ, ห้องเรียนบนคลาวด์ 5G และการรักษาความปลอดภัยแบบสามมิติโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เอาชนะโควิด-19
นอกจากนี้ เมื่อเผชิญกับความท้าทายของการระบาดทั่วโลก ZTE ได้จัดตั้งสาขาอาสาสมัคร 12 แห่งในเมืองอู่ฮั่น เฉิงตู ฉงชิ่ง และเมืองอื่น ๆ ในจีน รวมทั้งในเมียนมาร์ อินเดีย และประเทศอื่น ๆ ซึ่งอาสาสมัครทั้งหมดเหล่านี้ให้การสนับสนุนที่ต่อเนื่อง สำหรับการบรรเทาการระบาดและเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน มูลนิธิ ZTE ได้บริจาควัสดุป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงหน้ากากอนามัย แว่นตานิรภัย ชุดป้องกัน และเครื่องช่วยหายใจ ให้กับแนวหน้าของการแพร่ระบาดในจีน และกว่า 50 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก
แสวงหาความสามารถหลักที่สูงขึ้น พร้อมบรรลุความสำเร็จร่วมกันในเศรษฐกิจดิจิทัล
ปัจจุบัน เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเร่งการผสานรวมเข้ากับอุตสาหกรรมอื่น ๆ และกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจโลก และด้วยความเป็นมาดังกล่าว ZTE จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการสร้างและแบ่งปันโอกาสในการพัฒนากับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่สมบูรณ์
Xu Ziyang ประธาน ZTE Corporation ให้ความเห็นว่า "การแพร่ระบาดในปี 2563 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนอย่างมาก ส่งผลให้บริการด้านไอซีทีกลายเป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกับอากาศ น้ำ และไฟฟ้า ดังนั้น องค์กรต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและความเป็นอัจฉริยะ ซึ่งไม่ได้เพียงเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเพื่อที่จะมีความคล่องตัวและชาญฉลาดมากขึ้น ในการที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมภายนอก ตลาด และเทคโนโลยีได้ดีขึ้น"
รายงานระบุว่า ในการเป็น "ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล" ZTE ยกให้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาองค์กร ซึ่งบริษัทได้สร้างสรรค์นวัตกรรมในชิป อัลกอริทึม สถาปัตยกรรม ฐานข้อมูล ระบบปฏิบัติการ และอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาความสามารถหลักที่สูงขึ้นต่อไป อันจะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ZTE ได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่า 10,000 ล้านหยวนต่อปี และได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตร 80,000 ฉบับทั่วโลกนับจนถึงปลายเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยผ่านการอนุมัติมากกว่า 38,000 ฉบับ นอกจากนั้น รายงาน "Who is leading the 5G patent race?" ของ IPlytics ในเบอร์ลินที่เผยแพร่ในเดือนก.พ. ระบุว่า ZTE ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทท็อป 3 ของโลกด้านความเป็นผู้นำที่ยั่งยืนในเทคโนโลยี 5G ที่จดสิทธิบัตร Standard-Essential Patents (SEP) กับสถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมยุโรป (European Telecommunications Standards Institute หรือ ETSI)
ขณะเดียวกัน ZTE ได้ส่งเสริมเป้าหมาย "การเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมและการบรรลุความสำเร็จร่วมกันในเศรษฐกิจดิจิทัล" โดยมุ่งมั่นที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลระหว่างสถานการณ์ของธุรกิจแบบดั้งเดิมกับการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งมอบโซลูชันตามสถานการณ์ที่สร้างมูลค่าที่แท้จริงให้กับอุตสาหกรรม และกลายเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของอุตสาหกรรม โดย ZTE และพันธมิตรมากกว่า 500 รายในแวดวงอุตสาหกรรม การขนส่ง พลังงาน รัฐบาล การเงิน วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และอื่น ๆ ร่วมกันจัดการการใช้นวัตกรรม 5G และแนวปฏิบัติทางธุรกิจ และสร้างสถานการณ์ประมาณ 100 สถานการณ์สำหรับการใช้ 5G ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในปี 2563 โดยอาศัยเครือข่ายที่ดีที่สุดขององค์กร "โซลูชันคลาวด์และเครือข่ายที่แม่นยำ" และการเปิดใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น ในแวดวงอุตสาหกรรม โครงการโรงงานอัจฉริยะที่ ZTE ร่วมกันสร้างกับ Yunnan Sunho Aluminium ได้ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและยกระดับ Sunho ด้วย "การผลิตอัจฉริยะ" และช่วยให้บริษัทอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมนี้ประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน ลดกำลังคน และปรับปรุงประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ในแง่ของการดูแลสุขภาพ ZTE ได้นำเสนอโซลูชันการดูแลสุขภาพอัจฉริยะ 5G ซึ่งรวมเอาแอปพลิเคชันล้ำสมัยต่าง ๆ เช่น การสาธิตการปฏิบัติงาน การให้คำปรึกษาระยะไกล การราวด์วอร์ด (ward rounds) ระยะไกล ตลอดจนการวินิจฉัยโดยใช้มือถือและ AI ช่วยเพื่อปกป้องชีวิตมนุษย์ทุกคน
สำหรับด้านการศึกษา บริษัทได้ส่งมอบสถานการณ์เชิงนวัตกรรมและแอปพลิเคชันเพื่อการศึกษามากมาย เช่น ห้องเรียนระยะไกลเทคโนโลยี 5G + 4K, การศึกษา XR บนคลาวด์ 5G, การสอน 5G + AR และห้องเรียนโฮโลแกรม 5G+ เพื่อจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นและความฝันเกี่ยวกับอนาคตของเด็ก ๆ
ในด้านการเงิน ฐานข้อมูลแบบกระจายที่ ZTE พัฒนาขึ้นเองอย่าง GoldenDB ทำหน้าที่เป็นรากฐานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้สำหรับระบบบริการธนาคาร ปกป้องธุรกรรมทุกรายการสำหรับลูกค้ากว่า 300 ล้านราย นอกจากนี้ ZTE ยังทำให้ไลฟ์สไตล์อัจฉริยะ 5G ทุกสถานการณ์เป็นจริงด้วยสมาร์ทเทอร์มินัล 5G ที่หลากหลาย โดยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้กับสมาร์ทโฟน รวมถึงปลายทางข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลภายในบ้าน เพื่อความสำเร็จร่วมกันในเศรษฐกิจดิจิทัล
นำแนวคิดการพัฒนาสีเขียวมาปฏิบัติเพื่อไปสู่เป้าหมาย "ความเป็นกลางทางคาร์บอน"
ZTE มีส่วนร่วมในการลดคาร์บอนของเศรษฐกิจโลกอย่างแข็งขัน และส่งเสริมการค้า 5G สีเขียวในหลากหลายแวดวงมากขึ้น เพื่อช่วยให้ทุกอุตสาหกรรมเข้าสู่ช่องทางการพัฒนาสีเขียวได้อย่างรวดเร็ว ตามแนวคิด "ความเป็นกลางทางคาร์บอน" ซึ่งเป็นฉันทามติในประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลก
"เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า น้ำใสและภูเขาเขียวชอุ่มเป็นทรัพย์สินล้ำค่า และพยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง เราใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและปรับปรุงเทคนิคการผลิต" Xie Junshi รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ ZTE เน้นย้ำในรายงาน "เราใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของสเปกตรัมขั้นสูงสุด ประสิทธิภาพพลังงานระดับสูงสุด และประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายที่ดีที่สุดเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน"
เนื่องด้วยการถือกำเนิดของยุค 5G การใช้พลังงานของสถานีฐานและเทอร์มินัล 5G จึงถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรม ZTE ได้สำรวจวิธีลดการใช้พลังงานของสถานีฐานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด และได้จดสิทธิบัตรนวัตกรรม 5G สีเขียวมากกว่า 500 ฉบับ นอกจากนี้ บริษัทยังทุ่มเทในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดปริมาณการใช้โดยอาศัยชิปประสิทธิภาพสูงที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง การปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสูง การออกแบบโครงสร้างระดับชั้นนำ และจุดแข็งด้านเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน ZTE ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการมากกว่า 20 รายในการสร้างไซต์งานสีเขียวที่มีประสิทธิภาพสูงมากกว่า 500,000 แห่งในประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ เช่น จีน อิตาลี เวียดนาม เมียนมาร์ ปากีสถาน แอฟริกาใต้ และเอธิโอเปีย นอกเหนือจากนั้น ZTE ได้เปิดตัวโซลูชันประหยัดพลังงานเครือข่าย 4G และ 5G อย่าง PowerPilot ในปี 2563 ซึ่งโซลูชัน PowerPilot นั้นประหยัดพลังงานมากกว่าโซลูชันการประหยัดพลังงานที่ใช้ AI ทั่วไปถึง 2 เท่า และสามารถประหยัดพลังงานได้สูงสุด 20% ในเครือข่ายแบบหลายโหมด ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน โซลูชันดังกล่าวประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์แล้วในไซต์งานมากกว่า 700,000 แห่งในเครือข่ายกว่า 20 แห่งทั่วโลก
นอกจากนี้ ZTE ยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในหัวข้อการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการประหยัดพลังงาน โดย ZTE และ GSMA Intelligence ผู้นำด้านการวิจัยโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยีระดับโลก (TMT) และหน่วยงานของสมาคม GSMA ร่วมกันเปิดตัวสมุดปกขาว "5G Energy Efficiencies, Green is the New Black" ในปี 2563 ซึ่งสมุดปกขาวฉบับดังกล่าวได้วิเคราะห์ความเป็นมาและหลักการในการสร้างและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครือข่ายโทรคมนาคมในยุค 5G จากแง่มุมของการลดต้นทุน การปรับปรุงประสิทธิภาพเครือข่าย ความปลอดภัยด้านพลังงาน และการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก และสรุปความเป็นไปได้ของการประหยัดพลังงานและลดการใช้พลังงานด้วยนวัตกรรม
ในฐานะผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาสีเขียว ZTE Corporation ยังส่งเสริมการจัดการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุม ในการดำเนินการผลิตและการปฏิบัติงานประจำวันของบริษัท โดยบริษัทมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายการจัดการในแง่ของการประหยัดพลังงานและการปล่อยควันพิษ รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีการผลิตและการปรับปรุงอุปกรณ์ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เติบโตไปพร้อมกับพนักงานและพันธมิตร และมีส่วนช่วยเหลือชุมชนโลก
ZTE ได้ปรับปรุงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลภายในองค์กรให้ดียิ่งขึ้นในปี 2563 และได้สร้าง "Ultimate Cloud Company" ที่ชาญฉลาด น้ำหนักเบา และทำงานบนคลาวด์ทั้งหมด ในด้านการวิจัยและพัฒนา การดำเนินงาน สำนักงาน และการผลิต ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังสามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และปรับปรุงคุณภาพขณะเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคตได้อย่างยืดหยุ่น โดยบริการคลาวด์ของ ZTE ช่วยให้พนักงานมากกว่า 70,000 คนทั่วโลกสามารถทำงานจากที่บ้านได้ขณะเกิดการแพร่ระบาด และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ด้านการวิจัยและพัฒนากว่า 30,000 คนมีประสิทธิภาพในการทำงานระยะไกลมากกว่า 95%
ในแง่ของการกำกับดูแลกิจการ ZTE ได้เพิ่มความน่าสนใจและแรงจูงใจของผู้มีความสามารถหลัก ปรับปรุงระบบการจัดการตามข้อกำหนด ปรับปรุงระบบการจัดการควบคุมภายในองค์กร และบรรลุการเติบโตอย่างมีคุณภาพตามเส้นทาง 3 ขั้นตอน ได้แก่ "การฟื้นฟู การเติบโต และการขยับขยาย"
สำหรับแง่มุมของการมีส่วนร่วมต่อชุมชนโลก มูลนิธิ ZTE ยังคงยึดมั่นในพันธกิจของตนเสมอ นั่นคือ "ส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งสังคมสงเคราะห์ ปฏิบัติตามความรับผิดชอบขององค์กร และสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิการสาธารณะ" โดยบริษัทให้ความสำคัญกับ 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ การรักษาพยาบาล การช่วยเหลือด้านการศึกษา และการช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และได้จัดกิจกรรมด้านสวัสดิการสาธารณะและการบรรเทาความยากจนอย่างจริงจังในปีที่ผ่านมา
ในปี 2563 มูลนิธิ ZTE ได้ลงทุนมากกว่า 14 ล้านหยวนในด้านสวัสดิการสาธารณะ ดำเนินโครงการสังคมสงเคราะห์ 37 โครงการ และดำเนินกิจกรรมอาสาสมัครด้านสวัสดิการสาธารณะ 73 กิจกรรม ซึ่งค่าดัชนีความโปร่งใสมูลนิธิจีนประจำปี 2563 (FTI) มีคะแนนเต็ม 3 ปีติดต่อกันและได้รับรางวัล "รางวัลนวัตกรรมการกุศลประจำปี" และ "รางวัลโครงการการกุศลประจำปี" ในเทศกาลการกุศลแห่งประเทศจีนครั้งที่ 10
ทั้งนี้ ZTE พร้อมก้าวไปข้างหน้าโดยจะยึดมั่นอย่างแข็งแกร่งต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก และจะนำความรับผิดชอบต่อสังคมมาปฏิบัติในฐานะ "ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล" บริษัทจะเติบโตไปพร้อมกับพนักงานและพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังที่จะบรรลุการพัฒนาร่วมกันกับองค์กร บุคคล พันธมิตร และสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้การสื่อสารและความไว้วางใจเกิดขึ้นได้ทุกที่
อ่านและดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://res-www.zte.com.cn/mediares/zte/Files/PDF/white_book/202105191132EN.pdf
สื่อมวลชนติดต่อ:
Margaret Ma
ZTE Corporation
โทร: +86 755 26775189
อีเมล: ma.gaili@zte.com.cn