ใช้ระบบปฏิบัติการ Zepp OS สำหรับสมาร์ทวอทช์โดยเฉพาะ ช่วยให้การดูแลสุขภาพง่ายขึ้น
ซานฟรานซิสโก--12 ตุลาคม 2564--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
Amazfit แบรนด์อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ 3 รุ่นใหม่ ได้แก่ GTR 3 Pro, GTR 3 และ GTS 3
เพื่อให้การดูแลสุขภาพง่ายขึ้น อุปกรณ์สวมใส่ซีรีส์ล่าสุดของ Amazfit จึงออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถยกระดับสุขภาพของตนเอง [1] และอัปเกรดไลฟ์สไตล์โดยไม่กระทบต่อสไตล์ส่วนตัว สมาร์ทวอทช์ซีรีส์ใหม่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์สุดล้ำที่ช่วยรักษาสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Zepp OS ผสานรูปลักษณ์ที่ดูดีมีสไตล์
ฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและไลฟ์สไตล์
สมาร์ทวอทช์ 3 รุ่นใหม่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์เพื่อสุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย และไลฟ์ไตล์ โดยได้รับขุมพลังจากระบบปฏิบัติการ Zepp OS มาพร้อมอินเทอร์เฟซที่ทรงพลังและใช้งานง่าย ผู้สวมใส่จึงสามารถปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดของตนเอง สำรวจสิ่งที่น่าสนใจ และใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยพลังบวก
ระบบปฏิบัติการใหม่นี้พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะของ Amazfit มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนที่กินแบตเยอะ ระบบปฏิบัติการใหม่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดน้ำหนักเบา ราบรื่น และใช้ได้จริง ช่วยให้การสื่อสารข้อมูลง่ายขึ้นและลดการทำงานซ้ำซ้อน ทั้งยังกินแบตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า
นอกจากนั้นยังรองรับทั้งอุปกรณ์ Android และ iOS รวมทั้งสามารถเชื่อมกับแพลตฟอร์มสุขภาพยอดนิยม เช่น Apple Health หรือ Google Fit เพื่อซิงค์ข้อมูลสุขภาพ รวมถึง Strava, Relive, Runkeeper และ TrainingPeaks เพื่อซิงค์และแชร์ข้อมูลการเล่นกีฬา สำหรับคุณสมบัติเด่นอื่น ๆ ประกอบด้วย
ระบบปฏิบัติการ Zepp OS มาพร้อมข้อมูลเชิงลึกด้านสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายอย่างครอบคลุม ส่วน Zepp App ในสมาร์ทโฟนก็พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้ผู้สวมใส่บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจ
สมาร์ทวอทช์ GTR 3 Pro, GTR 3 และ GTS 3 ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้สวมใส่กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ใช้ชีวิตดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย มีสมดุล และประสบความสำเร็จ
GTR 3 Pro: รังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบพลังให้ผู้สวมใส่
GTR 3 Pro คือตัวเลือกระดับพรีเมียมในสมาร์ทวอทช์สายแฟชั่นซีรีส์ใหม่ของ Amazfit มาพร้อมนวัตกรรมสุดล้ำเพื่อให้ผู้สวมใส่ใช้ชีวิตอย่างใส่ใจสุขภาพและมีแรงผลักดันจากภายใน
GTR 3 Pro มีหน้าจอ AMOLED Ultra HD ขนาด 1.45 นิ้ว ความละเอียด 331 ppi ให้ภาพสว่างสดใส พร้อมอินเทอร์เฟซใช้งานง่าย และทำงานอย่างราบรื่นด้วยอัตรา Refresh Rate สูง จอทรงกลมขนาดใหญ่มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเรือนสูงถึง 70.6% นับว่าเป็นสมาร์ทวอทช์จอกลมขนาดใหญ่ที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด แต่ก็มีขนาดสวมใส่สบายไม่เทอะทะ
เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วหมุนเม็ดมะยมด้านข้างสมาร์ทวอทช์ด้วยสัมผัสที่คุ้นเคยเช่นเดียวกับนาฬิกาทั่วไป ผู้สวมใส่ก็สามารถดูฟีเจอร์และโหมดกีฬาต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
ผู้สวมใส่สามารถติดตามการออกกำลังกายตามโหมดกีฬากว่า 150 โหมดที่มาพร้อมกับสมาร์ทวอทช์ รวมถึงติดตามระดับความเครียดเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน หากลืมเปิดโหมดกีฬาก็ไม่ต้องกังวล เพราะฟีเจอร์ตรวจจับการออกกำลังกายอัจฉริยะ [12] จะเปิดโหมดกีฬายอดนิยม 8 โหมดเพื่อไม่ให้พลาดการติดตามการออกกำลังกาย
สิ่งที่ทำให้ GTR 3 Pro ยิ่งเหนือกว่าสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่นก็คือแบตเตอรี่ 450 mAh ซึ่งใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 12 วัน [13] ด้วยการชาร์จครั้งเดียว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดอีกต่อไป
ผู้ที่รักเสียงเพลงต้องปลื้มกับเมมโมรี่ความจุ 2.3 GB [14] ซึ่งเก็บเพลงได้สูงสุด 470 เพลง จึงเล่นเพลงจากสมาร์ทวอทช์ได้โดยตรงและไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน นอกจากนี้ GTR 3 Pro ยังสามารถโทรออกและรับสายเมื่อเชื่อมกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ จึงคุยได้โดยไม่ต้องถือสมาร์ทโฟน
GTR 3 สมาร์ทวอทช์ที่โดดเด่นด้วยความทนทาน น้ำหนักเบา และแบตอึด และ GTS 3 สมาร์ทวอทช์บางที่สุดและน้ำหนักเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด พร้อมหน้าจอขนาดใหญ่
GTR 3: รังสรรค์ขึ้นเพื่อความทนทาน
GTR 3 ทำจากอลูมินัมอัลลอยเกรดเดียวกับเครื่องบิน มีความทนทานสูงและน้ำหนักเบา มาพร้อมดีไซน์ไร้ขอบผสานกับจอกระจกโค้ง ให้ความรู้สึกกลมกลืนสวยงาม ด้านข้างมีเม็ดมะยมดูหรูหราที่ช่วยเติมเต็มดีไซน์ให้สมบูรณ์
ตัวเรือนดูดีมีสไตล์และสายซิลิโคนป้องกันแบคทีเรียสวมใส่สบายเข้ากันได้ดีกับเสื้อผ้าหลายแบบ ตั้งแต่ชุดสูทไปจนถึงชุดออกกำลังกาย ทั้งยังสามารถปรับแต่งภาพหน้าจอสมาร์ทวอทช์เพื่อแสดงข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการให้เห็นชัดเจนเพียงแค่ชายตามอง
GTR 3 มีหน้าจอ AMOLED HD ขนาด 1.39 นิ้วลุคสปอร์ต มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Zepp OS รวมถึงแบตเตอรี่ 450 mAh ใช้งานยาวนานสูงสุด 21 วัน หรือ 3 สัปดาห์ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว และยาวนานยิ่งกว่านั้นหากเปิดโหมดประหยัดแบตเตอรี่
GTS 3: รังสรรค์ขึ้นเพื่อรองรับทุกการเคลื่อนไหว
GTS 3 มาพร้อมจอสี่เหลี่ยมโมเดิร์น Ultra HD AMOLED ขนาด 1.75 นิ้ว ความละเอียด 341 ppi ถือเป็นสมาร์ทวอทช์บางที่สุดและน้ำหนักเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด และมีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเรือนสูงถึง 72.4% โดยออกแบบมาเพื่อทุกคนที่ต้องการสมาร์ทวอทช์ที่มีสไตล์และบาง แต่มีฟีเจอร์เทียบเท่ารุ่น GTR 3 แทบทั้งหมด
"สมาร์ทวอทช์ทั้งสามรุ่นเป็นไปตามสโลแกน Smart Health Made Easy โดยรุ่น GTR 3 Pro รังสรรค์ขึ้นเพื่อมอบพลังให้ผู้สวมใส่ รุ่น GTR 3 รังสรรค์ขึ้นเพื่อความทนทาน และรุ่น GTS 3 รังสรรค์ขึ้นเพื่อรองรับทุกการเคลื่อนไหว เราหวังว่าทุกคนจะตื่นเต้นกับสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่เช่นเดียวกับเรา การเชื่อมสุขภาพเข้ากับเทคโนโลยีคือปรัชญาสำคัญเบื้องหลังระบบปฏิบัติการ Zepp OS ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมุ่งเน้นสุขภาพโดยเฉพาะ ช่วยให้สมาร์ทวอทช์ของเราบรรลุพันธกิจในการทำให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างง่ายดาย" เวย์น หวง ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zepp Health กล่าว
ราคาและการวางจำหน่าย
สมาร์ทวอทช์ซีรีส์ GTR 3 และ GTS 3 วางจำหน่ายทั่วโลกในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 (GMT+1)
ในยุโรป วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 149.99 ยูโรสำหรับรุ่น GTR 3 และ GTS 3 และเริ่มต้นที่ 199.99 ยูโรสำหรับรุ่น GTR 3 Pro โดยวางจำหน่ายผ่าน Amazfit Store ในสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 (GMT+1)
ในสหรัฐอเมริกา วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 179.99 ดอลลาร์สำหรับรุ่น GTR 3 และ GTS 3 และเริ่มต้นที่ 229.99 ดอลลาร์สำหรับรุ่น GTR 3 Pro โดย GTR 3 Pro และ GTR 3 วางจำหน่ายผ่าน Amazfit Store ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 (GMT+1) ส่วน GTS 3 จะวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้
เกี่ยวกับ Amazfit
Amazfit ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 ในฐานะแบรนด์อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะชั้นนำระดับโลกที่มุ่งเน้นสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์และสายรัดข้อมือ รวมถึงอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ เช่น หูฟังออกกำลังกาย ลู่วิ่งไฟฟ้าอัจฉริยะ เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ และอุปกรณ์กีฬา สโลแกนของแบรนด์คือ Up Your Game โดยเราสนับสนุนให้ลูกค้าทำในสิ่งที่รักและแสดงพลังของตัวเองอย่างเต็มที่
ด้วยการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน สมาร์ทวอทช์ของ Amazfit จึงคว้ารางวัลด้านการออกแบบมาแล้วมากมาย รวมถึงรางวัล iF Industrial Design Award และ Red Dot Design Award ของเยอรมนี
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Amazfit วางจำหน่ายในกว่า 90 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ทั้งในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ เอเชีย ยุโรป และอื่น ๆ ทั้งนี้ Amazfit เป็นแบรนด์ของบริษัท Zepp Health (NYSE: ZEPP) และส่งมอบผลิตภัณฑ์กว่า 100 ล้านรายการนับตั้งแต่ปี 2557 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.amazfit.com
อ้างอิง |
[1] ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ และไม่สามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์หรือใช้ในการวินิจฉัยอาการทางการแพทย์ ผลการตรวจวัดใช้ในการอ้างอิงเท่านั้น กรุณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หากคุณรู้สึกไม่สบาย |
[2] Always-on Display: เมื่อหน้าจอสว่างจะแสดงข้อมูลระบบ เมื่อหน้าจออยู่ในโหมดสแตนด์บายจะแสดงเวลา ผู้สวมใส่ต้องตั้งค่า "Always-on Display" ด้วยตัวเองหากต้องการใช้งาน และสามารถเปิดหรือปิดฟีเจอร์นี้ได้ผ่านสมาร์ทวอทช์หรือ Alexa App |
[3] ในการตรวจวัดสุขภาพด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว กรุณาสวมสมาร์ทวอทช์ให้กระชับและห่างจากข้อมือเล็กน้อย ทำแขนให้นิ่งเพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด ทั้งนี้ การเคลื่อนไหว สภาพแวดล้อม และสภาพร่างกาย อาจส่งผลต่อความรวดเร็วและแม่นยำในการติดตามและวัดผล |
[4] ในการวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (SpO2) กรุณาสวมสมาร์ทวอทช์ให้กระชับและห่างจากข้อมือเล็กน้อย ทำแขนให้นิ่งเพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด การติดตามค่า SpO2 ตลอดวันต้องเปิดใช้งานฟีเจอร์ผ่านสมาร์ทวอทช์หรือ Zepp App ระบบจะแจ้งเตือนหากตรวจพบค่า SpO2 ต่ำเกินไปเมื่อเทียบค่าที่ตั้งไว้ในสมาร์ทวอทช์และ Zepp App ขั้นต่ำคือ 80% ทั้งนี้ การเคลื่อนไหว สภาพแวดล้อม และสภาพร่างกาย อาจส่งผลต่อความรวดเร็วและแม่นยำในการติดตามและวัดผล |
[5] ในการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง ผู้สวมใส่ต้องเปิดโหมดตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจอัตโนมัติผ่านสมาร์ทวอทช์หรือ Zepp App และตั้งเวลาต่ำสุดได้ที่ 1 นาที โดยต้องตั้งเวลาและตั้งการแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติผ่านสมาร์ทวอทช์หรือ Zepp App |
[6] PAI คือตัวบ่งชี้กิจกรรมทางกายส่วนบุคคล โดยพิจารณาจากข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ ความเข้มข้นของกิจกรรมประจำวัน และการประเมินข้อมูลทางกายภาพส่วนบุคคลครอบคลุมหลายมิติ จากนั้นแปลงเป็นค่า PAI ที่เข้าใจง่ายโดยใช้อัลกอริทึม เพื่อช่วยให้ผู้สวมใส่เข้าใจสภาพร่างกายของตนเอง การรักษาระดับการทำกิจกรรมประจำวันหรือการออกกำลังกายจะช่วยรักษาค่า PAI ให้คงที่ ทั้งนี้ ผลวิจัย HUNT Fitness Study* ระบุว่า ผู้ที่มีค่า PAI เกิน 100 มีความเสี่ยงน้อยลงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด และมีอายุขัยยืนยาวขึ้น *HUNT Fitness Study เป็นการวิจัยย่อยภายใต้การศึกษา HUNT Study ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ Ulrik Wisloff จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งนอร์เวย์ โดยใช้เวลาศึกษายาวนานกว่า 35 ปี และมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 230,000 คน |
[7] เมื่อสวมใส่สมาร์ทวอทช์ขณะนอนหลับ อุปกรณ์จะบันทึกข้อมูลการนอนโดยอัตโนมัติ ทั้งการนอนหลับในเวลากลางคืนและการงีบหลับ โดยการนอนที่คาบเกี่ยวช่วงเวลา 22.00-8.00 น. ถือเป็นการนอนหลับในเวลากลางคืน ส่วนการนอนเกิน 60 นาทีนอกเหนือจากช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นการงีบหลับ ขณะที่การนอนน้อยกว่า 20 นาทีจะไม่ถูกบันทึก ผู้สวมใส่สามารถดูข้อมูลทั่วไปของการนอนหลับในเวลากลางคืนได้จากสมาร์ทวอทช์ ส่วนบันทึกการงีบหลับและการวิเคราะห์อย่างละเอียดดูได้ในแอป การติดตามระดับความเครียดตลอด 24 ชั่วโมงต้องตั้งค่าผ่านสมาร์ทวอทช์หรือ Zepp App ระบบจะแจ้งเตือนหากตรวจพบระดับความเครียดสูงเมื่อเทียบกับค่าที่ตั้งไว้ และจะเตือนให้ฝึกหายใจตามที่ตั้งค่าไว้ |
[8] ดูรายชื่อ 15 ประเทศและดินแดน และ 14 ภาษาที่รองรับ รวมถึงวิธีการเปิดใช้งาน Alexa บนสมาร์ทวอทช์ซีรีส์ GTR 3 และ GTS 3 ได้ที่ support.amazfit.com |
[9] ระบบสั่งการด้วยเสียงออฟไลน์รองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ สเปน เยอรมัน และจีน สำหรับฟีเจอร์ล็อกหน้าจออัตโนมัติต้องตั้งค่าด้วยตัวเองในส่วนการตั้งค่าของสมาร์ทวอทช์ |
[10] ไม่รองรับการระบุตำแหน่งในอาคาร ความรวดเร็วและแม่นยำในการระบุตำแหน่งอาจได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ |
[11] Virtual Pacer รองรับเฉพาะโหมดวิ่งกลางแจ้งและวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า |
[12] ความแม่นยำและความไวของฟีเจอร์ตรวจจับการออกกำลังกายจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โดยมีความสัมพันธ์กับท่าทางและความช่ำชองของผู้สวมใส่ในขณะออกกำลังกาย ฟีเจอร์นี้อาจไม่เปิดใช้งานหากออกกำลังกายในระยะเวลาสั้น ๆ หรือเปลี่ยนท่าทางบ่อย เมื่อผู้สวมใส่ขับรถ ใช้บริการรถโดยสาร หรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ฟีเจอร์นี้อาจเปิดใช้งานเองหากกิจกรรมเหล่านั้นมีความคล้ายคลึงกับโหมดออกกำลังกายที่เลือกไว้ เมื่อผู้สวมใส่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากสัญญาณ GPS ไม่ดี หรือข้อมูล AGPS ไม่ซิงค์กับสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานพอสมควร กิจกรรมกลางแจ้งก็อาจถูกประเมินว่าเป็นกิจกรรมในร่ม |
[13] อายุการใช้งานของแบตเตอรี่แตกต่างกันไปตามการตั้งค่า สภาพการใช้งาน และปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยการใช้งานทั่วไปประกอบด้วยการเปิดโหมดวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลาและตรวจวัดทุก 10 นาที, เปิดโหมดติดตามการนอนหลับ, แสดงข้อความ 200 ข้อความต่อวัน, ยกข้อมือเพื่อดูเวลา 100 ครั้ง, วัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด 5 ครั้งต่อวัน, ใช้งานแบบ Bright Screen นาน 5 นาที, ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที, วิ่งพร้อมเปิด GPS นาน 30 นาที และปิดระบบสั่งการด้วยเสียง ส่วนการใช้งานโหมดประหยัดแบตเตอรี่ประกอบด้วยการเปิดโหมดประหยัดแบตเตอรี่ในสมาร์ทวอทช์ ปิดการเชื่อมต่อบลูทูธ โหมดวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และฟังก์ชันอื่น ๆ โดยบันทึกเฉพาะก้าวเดินและข้อมูลการนอนหลับทั่วไป สำหรับการใช้งานหนักประกอบด้วยการเปิดโหมดวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลาและตรวจวัดทุก 1 นาที, เปิดโหมดติดตามการนอนหลับ คุณภาพการหายใจขณะนอนหลับ และระดับความเครียด, เปิดหน้าจอเพื่อแสดงข้อความ 150 ข้อความต่อวัน, ยกข้อมือเพื่อดูเวลา 100 ครั้ง, วัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด 5 ครั้งต่อวัน, ใช้งานแบบ Bright Screen นาน 15 นาที, ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที, วิ่งพร้อมเปิด GPS นาน 30 นาที, เปิดระบบสั่งการด้วยเสียง, ใช้งาน GPS ต่อเนื่องนาน 38 ชั่วโมง, เปิดโหมดวัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อม GPS และใช้ GPS ติดตามเส้นทางการออกกำลังกาย |
[14] พื้นที่จัดเก็บเพลงสูงสุด 2.3 GB (พื้นที่จริงที่ใช้งานได้อาจน้อยกว่า 2.3 GB เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บระบบด้วย) เมื่อพิจารณาว่าหนึ่งเพลงมีขนาด 5-10 MB จะสามารถจัดเก็บเพลง MP3 ได้ 270-470 เพลง |