ปักกิ่ง--25 พฤษภาคม 2565--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
"มีอุปนิสัยที่ดีงามมากมายที่ผมอยากสืบทอดจากพ่อ" ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระบุในจดหมายอวยพรวันเกิดนายสี จงซวิ่น ผู้เป็นบิดา เมื่อปี พ.ศ. 2544 ในขณะที่เขายังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนทางภาคตะวันออกของจีน
นายสี จงซวิ่น เป็นหนึ่งในผู้นำส่วนกลางรุ่นแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนายสี จิ้นผิง มักหวนรำลึกถึงภูมิปัญญาที่บิดาถ่ายทอดให้แก่เขา
คำว่า "ประชาชน" คือหัวใจสำคัญที่สุดของสมบัติทั้งหมดที่นายสี จิ้นผิง ได้รับจากผู้เป็นบิดา
คนของประชาชน
"ปู่ของผมเป็นชาวนา พ่อของผมเข้าร่วมการปฏิวัติในฐานะชาวนา และตัวผมเองก็เคยเป็นชาวนาอยู่ 7 ปี" นายสี จิ้นผิง เคยกล่าวเอาไว้
ในช่วงการปฏิวัติเกษตรกรรม นายสี จงซวิ่น ซึ่งมีอายุไม่ถึง 20 ปี ได้อุทิศตนให้กับการจัดตั้งฐานที่มั่นการปฏิวัติบริเวณชายแดนมณฑลส่านซี-กานซู โดยเขาเคยกล่าวไว้ว่า "หากปราศจากการสนับสนุนจากมวลชน เราย่อมไม่อาจทำการได้สำเร็จ"
ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 นายสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในมณฑลส่านซีทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน โดยถือเป็นการคืนสู่เหย้าสำหรับประธานาธิบดีจีน
เมื่อ 53 ปีก่อน นายสี จิ้นผิง ที่กำลังจะมีอายุครบ 16 ปี ได้ถูกส่งไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในฐานะ "เยาวชนผู้มีการศึกษา"
เขาใช้เวลา 7 ปีสร้างตัวตนในหมู่บ้านขนาดเล็กแถบชนบทแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบสูงดินลมหอบ (Loess Plateau) อันเป็นสถานที่ที่บรรดานักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ รวมถึงบิดาของเขา ลุกขึ้นมาเพื่อก่อตั้งจีนใหม่
"ตอนนั้นผมทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่การพลิกฟื้นพื้นที่รกร้าง การเกษตร ขุดลอก เลี้ยงสัตว์ ลำเลียงถ่านหิน ทำเนินดิน และขนมูลสัตว์" นายสี จิ้นผิง กล่าว
"ในฐานะผู้รับใช้ประชาชน รากเหง้าของผมหยั่งลึกลงในที่ราบสูงทางตอนเหนือของมณฑลส่านซี ซึ่งได้ปลูกฝังภารกิจที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปของผม นั่นคือการทำทุกอย่างเพื่อประชาชน" นายสี จิ้นผิง เขียนในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา "ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมยังคงเป็นลูกแห่งที่ราบสูงดินลมหอบเสมอ"
คนทำงานเพื่อประชาชน
นายสี จงซวิ่น เคยกล่าวกับลูกชายว่า "ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม จงรับใช้ประชาชนอย่างขยันขันแข็ง คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน รักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับประชาชน และเข้าถึงประชาชนเสมอ"
ตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย นายสี จิ้นผิง ไม่ชอบทำงานในออฟฟิศ เขามักเดินทางเป็นเวลาหลายวัน บางครั้งก็ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อพูดคุยกับประชาชนระดับรากหญ้า เรียนรู้เกี่ยวกับความยากลำบากของชาวบ้าน และช่วยแก้ไขปัญหา
ในช่วงทศวรรษ 2520 คนรุ่นเดียวกันจำนวนมากเริ่มทำธุรกิจหรือเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่นายสี จิ้นผิง ตัดสินใจทิ้งงานในออฟฟิศที่สะดวกสบายในกรุงปักกิ่ง และเลือกทำงานเป็นรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอำเภอเล็ก ๆ ของมณฑลเหอเป่ยทางภาคเหนือของจีน ต่อมาเขาก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองหนิงเต๋อ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ยากจนที่สุดในมณฑลฝูเจี้ยนทางภาคตะวันออกของจีนในขณะนั้น
ขณะที่ดำรงตำแหน่งในเมืองหนิงเต๋อ นายสี จิ้นผิง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเมืองเล็กเกือบทุกแห่ง รวมถึง 3 ใน 4 เมืองที่ไม่มีถนนทางเข้า หนึ่งในนั้นคือเมืองเซี่ยตัง เมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาของอำเภอโซวหนิง ย้อนกลับไปในเวลานั้น เกษตรกรในเมืองเซี่ยตังมีรายได้สุทธิเฉลี่ยต่อหัวต่อปีไม่ถึง 200 หยวน (ราว 40 ดอลลาร์) จึงถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ยากจนที่สุดในมณฑลฝูเจี้ยน
ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ขณะเดินทางตรวจเยี่ยมมณฑลหูหนานทางภาคกลางของประเทศ นายสี จิ้นผิง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมหมู่บ้านซื่อปาตงของชนเผ่าแม้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า "ยากจน" ในขณะนั้น
"ฉันควรเรียกท่านว่าอย่างไรดี" ซื่อ ปาซาน หญิงชาวบ้านถามขณะต้อนรับนายสี จิ้นผิง สู่บ้านของเธอ ซึ่งนายสี จิ้นผิง ได้แนะนำตัวเองว่า "ผมเป็นผู้รับใช้ประชาชน"
ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนาน 5 ทศวรรษ นายสี จิ้นผิง ผงาดขึ้นจากเลขาธิการพรรคระดับรากหญ้าสู่ผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากพลเมืองธรรมดาสู่ประธานาธิบดีของประเทศ จากนายทหารทั่วไปสู่ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ในขณะที่ยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวจีนทุกคน