กรุงเทพฯ—20 ก.ย.—พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ปัจจุบัน เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลกเริ่มกลายเป็นพ่อแม่สัตว์เลี้ยง หรือ "pet parents" กันมากขึ้น โดยดูแลสุนัขและแมวของตนเหมือนลูกแท้ ๆ หมดยุคสมัยของการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่นอกบ้านและให้เศษอาหารกินแล้ว เพราะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงนั้น เทรนด์ดังกล่าวส่งผลกระทบครั้งใหญ่ และประเทศที่เป็นครัวโลกอย่างไทยก็พร้อมช่วยตอบโจทย์ความต้องการในการ 'ดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงเหมือนลูกแท้ ๆ'
เมื่อผู้บริโภคตระหนักเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรับประทานกันมากขึ้น พวกเขาก็คิดเรื่องนี้กับสัตว์เลี้ยงด้วย ทำให้ผู้บริโภคมองหาคุณค่าทางโภชนาการและมาตรฐานความปลอดภัยกันมากขึ้นสำหรับสัตว์เลี้ยงแสนรักของตน แทนที่จะเป็นอาหารธรรมดา ๆ ปัจจุบัน ปรากฏการณ์ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงมองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวได้กลายเป็นเทรนด์มาแรง จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่จะเห็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำจากพืช อาหารออแกนิก หรือแม้แต่อาหารวีแกนในตลาด
ข้อมูลจากสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยระบุว่า ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมากเป็นอันดับสามของโลกในปี 2564 โดยส่งออกคิดเป็นมูลค่ากว่า 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อนหน้า ตลาดที่ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไปมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น อิตาลี มาเลเซีย และออสเตรเลีย ส่วนประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเชีย เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และลาว ก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาหารสัตว์เลี้ยงมีการส่งออกเติบโตต่อเนื่องขึ้นอีกในปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นถึง 43% ในช่วง 7 เดือนแรก
สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยเปิดเผยว่า ผลผลิตทางการเกษตรที่ไทยมีอยู่มากมายทำให้วัตถุดิบที่นำมาผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงนั้นมาจากในไทยเองถึง 95% ซึ่งช่วยสนับสนุนสถานะศูนย์กลางการผลิตของประเทศ
ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย กล่าวว่า "จุดแข็งของเรายังมาจากประสบการณ์และชื่อเสียงที่เราสั่งสมมาอย่างยาวนานในการผลิตทูน่ากระป๋องด้วย ซึ่งต่อยอดไปผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกได้"
ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงยี่ห้อต่าง ๆ ในไทยนั้นมีทั้งยี่ห้อสมาร์ทฮาร์ทและมีโอของบริษัทเพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป ยี่ห้อมองชูของบริษัทเอเชี่ยนซี ยี่ห้อเจอร์ไฮและจินนี่ของเจริญโภคภัณฑ์อาหาร และยี่ห้อเช้นจ์เตอร์ของไทยยูเนี่ยน ศักยภาพทางการแข่งขันของไทยยังดึงดูดอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ระดับโลกหลายแห่งให้มาตั้งฐานการผลิตในไทยด้วย ทั้งมาร์ส เพ็ทแคร์ (Mars Petcare) เนสท์เล่ เพียวริน่า (Nestle Purina) เพดดิกรี (Pedigree) และทิกิ (Tiki)
เพื่อตอบรับเสียงเรียกร้องจากเจ้าของสัตว์ บรรดาผู้ผลิตต่างให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีความปลอดภัย ความหลากหลาย และคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับอาหารคน นอกจากนี้ สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีความล้ำหน้ายังเป็นที่ต้องการมากขึ้นด้วย เช่น อาหารสัตว์ป่วย และอาหารเสริมประกอบการรักษาโรคสัตว์เลี้ยง เช่น โรคหัวใจ ปอด และไต
ดร.ชนินทร์ กล่าวว่า "ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อผู้ผลิตของเราในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย ประกอบกับความหลากหลาย นวัตกรรม และการไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้ไทยมีความได้เปรียบในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก"
มอร์ดอร์ อินเทลลิเจนซ์ (Mordor Intelligence) คาดการณ์ว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกน่าจะมี CAGR อยู่ที่ 4.6% ในช่วงปี 2565-2570 โดยการที่ครัวเรือนที่มีสัตว์เลี้ยงมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั่วโลก ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจะคอยช่วยให้พ่อแม่สัตว์เลี้ยงดูแลเจ้าตัวขนแสนรักได้อย่างดีที่สุดแน่นอน