ปักกิ่ง--2 พฤศจิกายน 2565--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
จีนได้ให้การต้อนรับผู้นำต่างชาติคนแรกนับตั้งแต่ปิดฉากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 นั่นคือ นายเหงียน ฟู้ จ่อง (Nguyen Phu Trong) เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
นายเหงียน ฟู้ จ่อง เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา
ในระหว่างการพูดคุยเมื่อวันจันทร์ ผู้นำทั้งสองได้ให้คำมั่นว่าจะพยายามร่วมกันผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างจีนกับเวียดนามในยุคใหม่ไปสู่ระดับใหม่
การเยี่ยมเยือนที่แสดงถึงมิตรภาพอันมั่นคง
ผู้นำจีนกล่าวว่า นายเหงียน ฟู้ จ่อง เป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่เขาได้พบนับตั้งแต่ปิดฉากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 และถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของนายเหงียน ฟู้ จ่อง นับตั้งแต่ปิดฉากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ครั้งที่ 13 ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศและทั้งสองพรรค
นายสี จิ้นผิง ได้มอบเหรียญมิตรภาพแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนให้แก่นายเหงียน ฟู้ จ่อง โดยกล่าวว่าเหรียญดังกล่าวแสดงถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างจีนกับเวียดนามในฐานะ "สหายและพี่น้อง"
เหรียญรางวัลนี้มอบให้แก่ผู้ที่สนับสนุนความทันสมัยของจีน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนกับทั่วโลก และรักษาสันติภาพของโลก
นายเหงียน ฟู้ จ่อง กล่าวว่า เขาได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนายสี จิ้นผิง ว่าเขาจะเดินทางเยือนจีนเป็นประเทศแรกหลังจากที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามอีกครั้งในเดือนมกราคม 2564
ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้วในเดือนพฤศจิกายน นายสี จิ้นผิง เลือกเดินทางเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรกหลังปิดฉากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 19
สำนักข่าวเวียดนาม (Vietnam News Agency) รายงานว่า การเดินทางของนายเหงียน ฟู้ จ่อง เป็นการเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "ยืนยันนโยบายที่สอดคล้องกันของเวียดนาม ในการให้ความสำคัญสูงสุดกับความสัมพันธ์กับจีน"
การเยี่ยมเยือนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี
ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องต้องกันที่จะพัฒนาสังคมนิยมสมัยใหม่ วางกลยุทธ์การพัฒนา และส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การแพทย์และการดูแลสุขภาพ การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า สำหรับระบอบสังคมนิยมและความสัมพันธ์จีน-เวียดนามนั้น การยึดมั่นในทิศทางทางการเมืองที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เขาเน้นย้ำว่าทั้งสองฝ่ายควรรวมรากฐานเศรษฐกิจสังคมนิยมให้เป็นปึกแผ่น โดยจีนพร้อมที่จะประสานกลยุทธ์การพัฒนาร่วมกับเวียดนาม
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนถือว่าสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีความสำคัญอย่างยิ่งภายใต้นโยบายการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นภูมิภาคสำคัญภายใต้ความร่วมมือคุณภาพสูงในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) นอกจากนี้ จีนยังให้ความสำคัญกับบทบาทของเวียดนามในอาเซียน
นายเหงียน ฟู้ จ่อง กล่าวว่า เวียดนามเต็มใจที่จะประสานโครงการ "สองระเบียงเศรษฐกิจและหนึ่งวงกลมเศรษฐกิจ" (Two Corridors and One Economic Circle) เข้ากับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และความวุ่นวายทางการเมืองทั่วโลก เวียดนามยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนในอาเซียนและอันดับ 6 ของโลก โดยมีมูลค่าการค้าทวิภาคีเกิน 230,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564
ในเดือนกรกฎาคม จีนและเวียดนามตกลงที่จะเสริมแกร่งยุทธศาสตร์การพัฒนาและเร่งผลักดันความร่วมมือภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และโครงการ "สองระเบียงเศรษฐกิจและหนึ่งวงกลมเศรษฐกิจ"
ทั้งนี้ "สองระเบียงเศรษฐกิจและหนึ่งวงกลมเศรษฐกิจ" เป็นแผนริเริ่มเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคระหว่างจีนกับเวียดนาม โดยเกี่ยวข้องกับหลายพื้นที่ในจีนตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ และเวียดนามตอนเหนือ
ในระหว่างการพบปะพูดคุยครั้งนี้ นายเหงียน ฟู้ จ่อง เน้นย้ำว่าเวียดนามยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว รวมถึงต่อต้านกิจกรรมแบ่งแยกดินแดนทุกรูปแบบที่สนับสนุน "เอกราชของไต้หวัน" และจะไม่พัฒนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวัน
เขากล่าวว่า เวียดนามไม่อนุญาตให้ประเทศใดมาสร้างฐานทัพในอาณาเขตของตน ไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหาร ไม่ใช้กำลังกับประเทศใด และไม่ร่วมกับประเทศใดเพื่อสู้รบกับประเทศอื่น
หลังจากการพูดคุย ผู้นำทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามในเอกสารความร่วมมือเกี่ยวกับพรรคการเมือง เศรษฐกิจและการค้า การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ความยุติธรรม ขนบธรรมเนียม และกิจการในประเทศ