วูส และทีมแมคลาเรน เอฟวัน ฉลองความร่วมมือปีที่สอง ด้วยผลงานการออกแบบลวดลายบนตัวรถโดยศิลปินหน้าใหม่ที่มอบนิยามมากกว่าคำว่าความเร็ว
อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, 18 พฤศจิกายน 2565 /PRNewswire/ -- แอนนา มาเรีย อาอุน (Anna Maria Aoun) หรือที่รู้จักในชื่อ "แอนนา แทงเกิลส์" (Anna Tangles) ศิลปินหน้าใหม่มาแรงชาวเลบานอน อยู่เบื้องหลังผลงานการตกแต่งรถแมคลาเรนในงานฟอร์มูลาวัน เอทิฮัด แอร์เวย์ส อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ (FORMULA 1 ETIHAD AIRWAYS ABU DHABI GRAND PRIX) ประจำปี 2565 โดยการตกแต่งลวดลายสุดพิเศษในปีนี้มีจุดประสงค์เพื่อฉลองพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่อิสระและไร้ขีดจำกัด
แอนนา แทงเกิลส์ เป็นศิลปินคนล่าสุดที่เข้าร่วมกับวูส แบรนด์บุหรี่ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก* และโครงการดริเวน บาย เชนจ์ (Driven by Change) ของทีมแมคลาเรน เอฟวัน ซึ่งมอบโอกาสเหนือชั้นในโลกแห่งกีฬาแข่งรถให้แก่ศิลปินหน้าใหม่มากความสามารถ โดยผลงานการออกแบบลักษณะเส้นตรงของเธอได้กลายเป็นตัวแทนของศิลปินจากทุกสาขาอาชีพ ในการส่งเสริมความสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดในแบบฉบับของตน
ลวดลายบนตัวรถแข่งประจำปี 2565 ของทีมแมคลาเรนได้สานต่อผลงานในปีก่อนหน้าของศิลปินมากความสามารถอย่างราบับ ทันทาวี (Rabab Tantawy) โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวส่วนตัวของแอนนา ที่ซึ่งเธอได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อทำตามความฝันของตนเอง และอุทิศชีวิตของเธอเพื่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ลายเส้นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในงานศิลปะชิ้นนี้แสดงถึงความอิสระ ความสงบ และสมาธิที่เกิดขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ระหว่างที่เธอกำลังวาดลวดลายต่าง ๆ ลงบนตัวรถ ผลงานของเธอผสมผสานเข้ากับสีส้มมะละกอและสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ของทีมแมคลาเรน เอฟวัน ได้อย่างดี ลายเส้นของเธอเปรียบได้กับสนามแข่ง มอบความรู้สึกสงบและมีสมาธิ ไม่ต่างจากนักแข่งในช่วงก่อนและระหว่างการแข่งขันแต่ละครั้ง
คุณแอนนา แทงเกิลส์ กล่าวว่า "ในฐานะเป็นแฟนการแข่งขันฟอร์มูลาวันมาทั้งชีวิต ฉันไม่เคยเชื่อเลยว่า วันหนึ่งผลงานศิลปะของตัวเองจะถูกนำมาจัดแสดงในงานกรังด์ปรีซ์ และทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณโครงการดริเวน บาย เชนจ์ ฉันได้อุทิศเวลาว่างให้กับการฝึกฝนและส่งต่อกำลังใจไปยังศิลปินคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลปินหญิงในตะวันออกกลาง ให้ยอมรับความหลงใหลในงานศิลปะและทักษะของตนเอง การได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่สนับสนุนความทะเยอทะยานเดียวกันในการส่งเสริมศักยภาพศิลปินหน้าใหม่ด้วยวิธีนี้ถือเป็นโอกาสที่พิเศษอย่างยิ่ง"
เพื่อสะท้อนถึงจิตวิญญาณของโครงการดริเวน บาย เชนจ์ คุณแอนนามุ่งมั่นที่จะสร้างเส้นทางที่โปร่งใสและทำให้ทุกคนเข้าถึงงานศิลปะได้ ผ่านการสนับสนุนที่เธอมอบให้กับชุมชนศิลปินในท้องถิ่นของเธอ เธอได้แบ่งปันคำแนะนำ การเรียนรู้ และเทคนิคต่าง ๆ ให้แก่ศิลปินที่ต้องการค้นหาความคิดสร้างสรรค์ของตน เปิดรับความตั้งใจและปลดปล่อยศักยภาพผ่านเวิร์กช็อปและการให้คำปรึกษา ซึ่งเป็นจุดที่เธอได้สร้างสายสัมพันธ์ร่วมกับราบับ ทันทาวี ผู้ซึ่งยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับแอนนาและผลงานของเธอ
จอห์น บีซลีย์ (John Beasley) หัวหน้ากลุ่มฝ่ายการสร้างแบรนด์ของบีเอที (BAT) กล่าวว่า "โครงการดริเวน บาย เชนจ์ ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างการต่อยอดจากรุ่นสู่รุ่น และเราภูมิใจที่คุณราบับ ศิลปินประจำปี 2564 ของเราได้ส่งไม้ต่อให้แก่คุณแอนนาในฐานะผู้สานต่อมรดกแห่งความคิดสร้างสรรค์และการเปลี่ยนแปลง คุณแอนนาเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของโครงการดริเวน บาย เชนจ์ การได้เห็นงานศิลปะต้นฉบับของเธอเฉิดฉายบนผืนผ้าใบที่เคลื่อนไหวเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกถือเป็นเรื่องวิเศษ เราตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นเส้นทางในอนาคตของคุณแอนนา และศิลปินคนต่อไปที่จะสานต่อผลงานของเธอ"
โครงการดริเวน บาย เชนจ์ เป็นตัวแทนของศิลปินหน้าใหม่ทั่วโลก มอบโอกาสสุดพิเศษให้แก่นักสร้างสรรค์ในการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มระดับโลกของกีฬาแข่งรถ เพื่อแสดงผลงานศิลปะของตน งานศิลปะการตกแต่งรถประจำปี 2565 เป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายของความคิดสร้างสรรค์ที่วูสและทีมแมคลาเรน เอฟวัน นำมาสู่โลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต และปูทางสู่สุดยอดผลงานในปี 2566
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องราวของแอนนาและโครงการดริเวน บาย เชนจ์ ได้ผ่านช่องทางโซเชียลของวูสและแอนนา
*อิงตามส่วนแบ่งมูลค่าโดยประมาณของ Vype/Vuse จากราคาขายปลีกที่แนะนำของยอดค้าปลีกที่มีการคำนวณสำหรับสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า (เช่น มูลค่ายอดค้าปลีกทั้งหมดในหมวดบุหรี่ไฟฟ้า) ในตลาดที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เยอรมนี ณ เดือนพฤษภาคม 2565
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ
เกี่ยวกับบีเอที
บีเอที (BAT) เป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำที่มีจุดประสงค์เพื่อสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า (A Better Tomorrow™) ด้วยการลดการก่อผลกระทบต่อสุขภาพ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สร้างความสำราญและมีความเสี่ยงน้อยกว่าให้กับผู้บริโภคที่เป็นผู้ใหญ่
บริษัทยังคงชัดเจนเสมอมาว่าบุหรี่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง และวิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้ก็คือการไม่เริ่มหรือหากเริ่มไปแล้วก็ให้เลิกเสีย บีเอทีสนับสนุนให้ผู้ที่ยังต้องสูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้ทางเลือกอื่นที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รับรองว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า*† เพื่อการนี้ บีเอทีจึงกำลังเปลี่ยนตัวเองเป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่เน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
ความปรารถนาของบีเอทีคือการมีผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องจุดไฟให้ได้ 50 ล้านคนภายในปี 2573 และเพื่อทำรายได้ในหมวดหมู่ใหม่ให้ได้ 5 พันล้านปอนด์ภายในปี 2568 บีเอทีได้กำหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยให้รวมถึงความเป็นกลางทางคาร์บอน ขอบเขต 1 และ 2 ภายในปี 2573 และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและทำให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ ภายในปี 2568
บีเอทีมีพนักงานมากกว่า 52,000 คน และดำเนินงานในกว่า 175 ประเทศ กลุ่มบีเอทีสร้างรายได้ 1.287 หมื่นล้านปอนด์ในครึ่งแรกของปี 2565 และมีกำไรจากการดำเนินงาน 3.68 พันล้านปอนด์
กลุ่มผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์บุหรี่ระดับโลก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กำลังเติบโตอย่างยาสูบและผลิตภัณฑ์นิโคตินประเภทใหม่ และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบที่ไม่ต้องจุดที่มีความเสี่ยงน้อยลง*† ซึ่งรวมถึงไอระเหย ผลิตภัณฑ์ให้ความร้อนยาสูบ ผลิตภัณฑ์ชนิดรับประทานแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงแผ่นแปะนิโคตินที่ปราศจากยาสูบ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ในช่องปากแบบดั้งเดิม เช่น สนูส (snus) และยานัตถุเปียก (moist snuff) โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เรามีผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องจุด 20.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2564 ทั้งปี
*อ้างอิงจากน้ำหนักของหลักฐานและสมมติฐานว่ามีการเลิกบุหรี่อย่างสิ้นเชิง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังมีความเสี่ยง และเสพติดได้
† ผลิตภัณฑ์ของเราที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ วูส, เวโล (Velo), กริซลี (Grizzly), โคดิแอค (Kodiak) และคาเมล สนูส (Camel Snus) อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และจะไม่อ้างว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความเสี่ยงน้อยกว่าหากไม่ได้รับอนุมัติจาก FDA
เกี่ยวกับแมคลาเรน เรซซิ่ง
แมคลาเรน เรซซิ่ง (McLaren Racing) ก่อตั้งโดยบรูซ แม็คลาเรน นักแข่งรถชาวนิวซีแลนด์ในปี 2506 ทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟอร์มูลา วัน (Formula 1) เป็นครั้งแรกในปี 2509 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแม็คลาเรนก็คว้าแชมป์ฟอร์มูลา วัน เวิลด์ แชมเปียนชิพ มาแล้ว 20 ครั้ง, ได้แชมป์ฟอร์มูลา วัน กรังด์ปรีซ์ มากกว่า 180 ครั้ง, คว้าแชมป์อินเดียนาโปลิส 500 (Indianapolis 500) 3 ครั้ง รวมถึงได้แชมป์เลอ มังส์ 24 ชั่วโมง (Le Mans 24 Hours) ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงแข่ง
ทีมลงแข่งขันในประเภทเอฟไอเอ ฟอร์มูลา วัน เวิลด์ แชมเปียนชิพ (FIA Formula 1 World Championship) โดยมีแลนโด นอร์ริส (Lando Norris) กับแดเนียล ริคคิอาร์โด (Daniel Ricciardo) เป็นผู้ขับ, ส่วนในประเภทเอ็นทีที อินดีคาร์ (NTT INDYCAR Series) นั้น ทีมแอร์โรว์ แม็คลาเรน เอสพี (Arrow McLaren SP) มีปาโต โอวาร์ด (Pato O'Ward) กับเฟลิกซ์ โรเซนควิสท์ (Felix Rosenqvist) ขณะที่ประเภทเอ็กซ์ตรีม อี แชมเปียนชิพ (Extreme E Championship) มีเอ็มมา กลิมอร์ (Emma Gilmour) กับแทนเนอร์ เฟาส์ท (Tanner Foust) ทั้งนี้ แม็คลาเรนจะลงแข่งขันในซีซันที่เก้าของเอฟไอเอ ฟอร์มูลา อี เวิลด์ แชมเปียนชิพ (FIA Formula E World Championship) ในฤดูกาล 2565/2566
แมคลาเรนเป็นทีมเอฟวันทีมแรกที่ได้รับมาตรฐานคาร์บอน ทรัสต์ (Carbon Trust Standard) ในปี 2553 และยังคงได้มาตรฐานดังกล่าวปีละสองครั้ง โดยล่าสุดเพิ่งได้รับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และยังเป็นทีมแรกในเอฟวันที่ได้รับรางวัลการรับรองความยั่งยืนของเอฟไอเอ (FIA Sustainability Accreditation Award) ในระดับ 3 ดาว ในปี 2556 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมของเอฟไอเอ ก่อนที่จะลงนามในข้อตกลงกีฬาเพื่อสภาพอากาศของสหประชาชาติ (UN Sports for Climate Action Commitment) ในปี 2564
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/1947393/VUSE.jpg?p=medium600