ชิงเต่า, จีน--9 ธันวาคม 2565--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ตั้งแต่ป้ายโฆษณาแอลอีดีที่โดดเด่นสะดุดตาในการแข่งขันฟีฟ่าเวิลด์คัพ (FIFA World Cup) ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบขนส่งอัจฉริยะในกาตาร์ ทุกองค์ประกอบของ "ไฮเซ่นส์" (Hisense) เปล่งประกายในทุกที่ของการแข่งขันฟีฟ่าเวิลด์คัพปีนี้ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทอันโดดเด่นของแบรนด์ระหว่างมหกรรมการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟีฟ่าเวิลด์คัพ 2022 ไฮเซ่นส์ได้แสดงความสำเร็จระดับโลกครั้งล่าสุดในมหกรรมกีฬาระดับโลกครั้งนี้ ด้วยความก้าวหน้าด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการจัดหาผลิตภัณฑ์ชั้นหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก ไฮเซ่นส์กำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นองค์กรระดับโลก
คุณภาพของผลิตภัณฑ์ผลักดันไฮเซ่นส์สู่ความเป็นเลิศท่ามกลางคู่แข่งทั่วโลก
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไฮเซ่นส์มีการพัฒนาควบคู่ไปกับการเติบโตของความสามารถในการผลิตของจีน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ไฮเซ่นส์ได้รับรู้ว่า "การรับจ้างผลิต" (OEM) ทำกำไรต่ำ และจำเป็นต้องสร้างห่วงโซ่การวิจัยและพัฒนาที่เป็นอิสระ เพื่อขับเคลื่อนวิวัฒนาการของความสามารถในการผลิต
เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ไฮเซ่นส์ได้ลงทุนอย่างมหาศาลในด้านการวิจัยและพัฒนา ในปี 2007 ไฮเซ่นส์เป็นบริษัทแห่งแรก ๆ ของโลกที่พัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์ทีวี และพยายามสร้างนิยามใหม่ให้กับตลาดทีวีสีด้วยจอแสดงผลเลเซอร์ และ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2022 ไฮเซ่นส์ได้ยื่นจดสิทธิบัตร 1,969 ฉบับเกี่ยวกับเทคโนโลยีจอแสดงผลเลเซอร์ ขึ้นแท่นผู้ถือสิทธิบัตรรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเลเซอร์ทีวีทั่วโลก นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2022 เลเซอร์ทีวีรุ่น 100L9G ของไฮเซ่นส์ก็ถูกนำไปใช้ที่สำนักงานใหญ่ของฟีฟ่า โดยผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและเทคโนโลยีล้ำสมัยของไฮเซ่นส์จะมอบประสบการณ์การรับชมที่น่าทึ่งให้กับแฟนบอลอย่างแน่นอน
ไฮเซ่นส์อาศัยความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยีการประมวลผลภาพ และเปิดตัวเทคโนโลยียูแอลอีดี (ULED) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองในปี 2012 ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านคุณภาพของภาพ ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเราได้เห็นความละเอียดของทีวีไฮเซ่นส์ยูแอลอีดี ที่พุ่งสูงขึ้นจาก 1080P เป็น 8K นอกจากนี้ การสำรวจและสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องของบริษัทยังทำให้ส่วนแบ่งการส่งมอบทีวีของไฮเซ่นส์เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 5% เป็นมากกว่า 12% ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา
ในวันนี้ เทคโนโลยีระดับแนวหน้าของไฮเซ่นส์และรูปแบบที่มีความเป็นสากลรอบด้าน ทำให้ไฮเซ่นส์กลายเป็นแบรนด์ระดับสากลที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในหมู่ลูกค้าทั่วโลก ในอนาคต ไฮเซ่นส์จะยังคงทุ่มเทให้กับการวิจัยและพัฒนาอย่างอิสระ โดยจะเดินหน้าส่งมอบผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ระดับพรีเมียมให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลกต่อไป