ปักกิ่ง--26 กันยายน 2566--พีอาร์นิวส์ไวร์/ดาต้าเซ็ต
เมืองอี้อูในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "เมืองสินค้าเบ็ดเตล็ดของโลก" มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับมากกว่า 230 ประเทศและภูมิภาค
ตลาดค้าส่งนานาชาติอี้อู (Yiwu International Trade Market) ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดย่อม จำนวน 2.1 ล้านแห่ง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากกว่า 32 ล้านคน จนเป็นที่รู้จักในฐานะตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ในระหว่างการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมณฑลเจ้อเจียงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำของจีน ได้เยือนตลาดค้าส่งดังกล่าวในเมืองอี้อู ซึ่งเป็นเมืองระดับอำเภอในเมืองจินหัว เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา และได้กล่าวยกย่องว่า สินค้าเบ็ดเตล็ดจากอี้อูสามารถบุกเข้าสู่ตลาดใหญ่และขึ้นแท่นเป็นอุตสาหกรรมหลักไปเป็นที่เรียบร้อย
"ทุกคนถือเป็นผู้มีส่วนร่วม ผู้สร้าง และผู้สนับสนุน" ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง กล่าว พร้อมกับกระตุ้นให้ตลาดการค้ามีส่วนร่วมมากขึ้นในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนเรียกร้องให้มณฑลเจ้อเจียงเป็นผู้นำและแบบอย่างในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
พัฒนาการค้าเพื่อการเปิดกว้างในระดับสูง
ข้อมูลที่เผยแพร่โดยสำนักงานศุลกากรจีนแสดงให้เห็นว่า มูลค่าการนำเข้าและส่งออกสินค้ารวมในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 20.1 ล้านล้านหยวน (ราว 2.75 ล้านล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี นับว่าทะลุหลัก 20 ล้านล้านหยวนเป็นครั้งแรก
วิสาหกิจเอกชนยังคงเป็นกำลังหลักในการส่งเสริมการค้าต่างประเทศของจีน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีส่วนในการนำเข้าและส่งออก มีจำนวนเพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของวิสาหกิจเอกชนอยู่ที่ 10.59 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี
นายสี จิ้นผิง เน้นย้ำระหว่างการลงพื้นที่ว่า ต้องพยายามส่งเสริมและสนับสนุนวิสาหกิจเอกชนให้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการจัดสรรแรงงานและทรัพยากร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันหลัก ๆ
หลังจากพัฒนามานานหลายปี ในที่สุดทางรถไฟขนส่งสินค้าจีน-ยุโรป ซึ่งเริ่มที่เมืองอี้อูและไปสิ้นสุดที่กรุงมาดริดของสเปน ก็ได้เข้าสู่เส้นทางการพัฒนาคุณภาพสูง และกลายเป็นการขนส่งระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย เชื่อถือได้ ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทางรถไฟขนส่งสินค้าสายอี้อู-ซินเจียง-ยุโรป หรือ "อี้ซินโอว" (Yixin'ou) ความยาว 13,052 กิโลเมตร ได้กลายเป็นสะพานสำคัญที่เชื่อมทวีปยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกัน โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม จำนวนรถไฟขนส่งสินค้าที่ใช้เส้นทางดังกล่าวมีมากกว่า 6,000 ขบวน
นอกจากนี้ ผู้นำจีนได้เรียกร้องให้มณฑลเจ้อเจียงเดินหน้าปฏิรูปเชิงลึกและเปิดกว้างมากขึ้น โดยขอให้วางแผนปฏิรูปจากมุมมองที่เป็นสากล รวมถึงเปิดกว้างมากขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคำนึงถึงกฎระเบียบ ข้อบังคับ การจัดการ และมาตรฐานต่าง ๆ
ในปี 2564 จีนได้ประกาศแนวทางสนับสนุนมณฑลเจ้อเจียงให้เป็นผู้นำในการจัดตั้งเขตสาธิตเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ความหมายของความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้รับการตีความอย่างชัดเจนในมณฑลเจ้อเจียง ผ่านการพัฒนาวิสาหกิจเอกชนไปจนถึงการฟื้นฟูชนบทอย่างต่อเนื่อง
ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันผ่านโครงการต่าง ๆ
เมื่อเดือนมิถุนายน 2546 มณฑลเจ้อเจียงได้ริเริ่มโครงการฟื้นฟูชนบทสีเขียว (Green Rural Revival Program) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการผลิต ความเป็นอยู่ และสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาในชนบท รวมถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดหมู่บ้านที่สวยงามหลายพันแห่ง และพลิกโฉมหน้าชนบทในมณฑลเจ้อเจียงจากหน้ามือเป็นหลังมือ อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาเกษตรกรรมและชนบทให้ทันสมัย ตลอดจนเป็นแบบอย่างของความสำเร็จในการส่งเสริมชนบทให้มีความทันสมัย
หมู่บ้านหลี่จู (Lizu) ในเมืองจินหัว คือหนึ่งในหมู่บ้านที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว โดยเปลี่ยนจากหมู่บ้านที่เสื่อมโทรมและยากจน กลายเป็นหมู่บ้านที่มีสภาพแวดล้อมดีขึ้นและมีการท่องเที่ยวที่เจริญรุ่งเรือง
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เยี่ยมเยือนหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน และได้รับทราบว่ารายได้ต่อหัวต่อปีของหมู่บ้านสูงถึง 52,000 หยวน (ราว 7,250 ดอลลาร์)
สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ฤดูร้อนปีนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่จีนมีผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ โดยผลผลิตธัญพืชในฤดูร้อนปีนี้อยู่ที่ 146.13 ล้านตัน
ณ สิ้นปี 2565 จีนได้จัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้เปรียบและมีลักษณะเฉพาะขึ้นใหม่ 40 กลุ่ม พร้อมด้วยนิคมเกษตรกรรมและนิคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ระดับชาติ 50 แห่ง และเมืองที่มีภาคการเกษตรที่แข็งแกร่งอีก 200 แห่ง
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความพยายามในการลดช่องว่างระหว่างเขตเมืองกับชนบท ตลอดจนจัดการกับความไม่เท่าเทียมด้านการพัฒนาและรายได้ในภูมิภาค โดยเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูชนบทอย่างทั่วถึง และส่งเสริมอุตสาหกรรมในชนบทที่มีลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นอย่างแข็งขัน
"ยังมีอะไรอีกมากมายให้สำรวจและทำ เพื่อความก้าวหน้าในการฟื้นฟูชนบท" นายสี จิ้นผิง กล่าวกับชาวบ้าน พร้อมกระตุ้นให้ชาวบ้านพยายามสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมด้วยความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 20 ปีของการดำเนินยุทธศาสตร์ "การใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบ 8 ประการ และการใช้มาตรการสำคัญ 8 ประการ" ในมณฑลเจ้อเจียง
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง นำเสนอยุทธศาสตร์ดังกล่าวในปี 2546 โดยเรียกร้องให้มณฑลเจ้อเจียงใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบ 8 ประการ เช่น ข้อได้เปรียบด้านระบบและกลไก ข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง และข้อได้เปรียบทางอุตสาหกรรม เป็นต้น ตลอดจนนำมาตรการสำคัญ 8 ประการมาใช้ในการพัฒนามณฑลเจ้อเจียง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของมณฑลเจ้อเจียงก็ประสบความสำเร็จครั้งใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์
ด้วยตระหนักถึงความสำเร็จเหล่านี้ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ขอให้มณฑลเจ้อเจียงถือว่าเศรษฐกิจที่แท้จริงเป็นรากฐานในการสร้างระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ตลอดจนสนับสนุนอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้เร่งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่พร้อมใช้งานแล้ว ไปจนถึงส่งเสริมการพัฒนาภาคการผลิตในระดับสูงอย่างชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม