ปักกิ่ง--20 พฤศจิกายน 2563--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
โรคโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดทั่วโลก ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยแต่ละประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระดับที่แตกต่างกัน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกจะหดตัวลง 2.3% ในปี 2563 ก่อนที่จะขยายตัว 6.7% ในปี 2564 ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะหดตัวลง 5.8% ในปี 2563 และขยายตัว 3.9% ในปี 2564
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่ https://news.cgtn.com/news/2020-11-19/China-to-nurture-innovation-driven-growth-deepen-opening-up--VxuhBosSSk/index.html
เศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ และจีนจะเดินหน้าสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์กับทุกประเทศในเอเชียแปซิฟิก นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน กล่าวระหว่างการประชุมผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ผ่านทางวิดีโอลิงก์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
กลุ่มเอเปคจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 เพื่อพึ่งพาอาศัยกันและสร้างความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ผ่านการส่งเสริมการค้าเสรีและเปิดกว้างระหว่างประเทศสมาชิก
มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปีนี้ โดยผู้แทนจากมาเลเซียในสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปค (ABAC) กำลังจัดการประชุมเพื่อกำหนดวาระสำคัญในยุคหลังโควิด-19
นายสี จิ้นผิง กล่าวต่อผู้นำชุมชนธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกว่า การที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างมั่นคงสะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัวและอยู่รอด พร้อมกับแสดงความมั่นใจว่า "การปลดปล่อยศักยภาพของตลาดจีนอย่างต่อเนื่องจะสร้างความเป็นไปได้ทางธุรกิจมากมายให้กับประเทศอื่น ๆ" และจะสร้างแรงกระตุ้นที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
สร้างการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้นในการกระตุ้นผลิตภาพทางสังคม ดังนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างมีคุณภาพสูงซึ่งขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ในประเทศ จีนต้องรุกพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศ
เขากล่าวว่า นวัตกรรมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด และจีนก็บรรลุผลสำเร็จมากมายจากการดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
"เราจะใช้ประโยชน์จากอุปสงค์ของตลาดในประเทศที่มีขนาดมหึมาและความแข็งแกร่งของระบบอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ รวมถึงเพิ่มความพยายามเป็นเท่าตัวในการเปลี่ยนผลวิจัยให้กลายเป็นผลิตภาพอย่างแท้จริง" ประธานาธิบดีจีนกล่าว
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า เพื่อรักษาระดับการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว "เราจะพยายามสร้างระบบนวัตกรรมที่ผสานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา อุตสาหกรรม และการเงินเข้าด้วยกัน พร้อมกับอัปเกรดห่วงโซ่อุตสาหกรรม"
ยกระดับการปฏิรูปและเปิดกว้างผ่านการพัฒนากลไก
ประธานาธิบดีจีนเน้นย้ำว่า จีนจะเดินหน้ายกระดับการปฏิรูปและกระตุ้นตลาด เนื่องจากการปฏิรูปมีบทบาทสำคัญในการปลดปล่อยและเพิ่มผลิตภาพ
อัตราส่วนการค้าต่างประเทศต่อจีดีพีของจีนร่วงลงจาก 67% ในปี 2549 เหลือไม่ถึง 32% ในปี 2562 ขณะที่อัตราส่วนยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพีลดลงจาก 9.9% ในปี 2550 เหลือไม่ถึง 1% ในปัจจุบัน
ในระยะเวลา 7 ปีหลังเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 อุปสงค์ในประเทศจีนคิดเป็นสัดส่วนเกิน 100% ของจีดีพี ส่งผลให้การบริโภคในประเทศเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนได้เข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของการพัฒนาและมีพันธกิจใหม่ในการปฏิรูป พร้อมกับเน้นย้ำว่าจีนจะใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบใหม่ที่เรียกว่า "วงจรคู่" (Dual Circulation) ซึ่งยึดตลาดในประเทศเป็นหลัก และเปิดโอกาสให้ตลาดในประเทศและต่างประเทศส่งเสริมซึ่งกันและกัน
เขากล่าวเสริมว่า แม้จะให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศเป็นหลัก "แต่เราไม่ได้ปิดประตู เรายังคงเดินหน้าเปิดกว้างและส่งเสริมตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป"
ประธานาธิบดีจีนกล่าวเสริมว่า จีนจะใช้มาตรการเพิ่มเติมในการขจัดอุปสรรคทางระบบที่ฝังรากลึก เพื่อปรับปรุงระบบการบริหารจัดการให้ทันสมัยและสอดคล้องกับข้อบังคับของตลาด ตั้งแต่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการปกป้องทรัพย์สินและทรัพย์สินทางปัญญา การวางระบบตลาดที่มีมาตรฐานสูง ไปจนถึงการปรับปรุงกลไกเพื่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
ความหวังของชุมชนธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก
เศรษฐกิจของ 21 ประเทศสมาชิกกลุ่มเอเปคคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของเศรษฐกิจโลก และมีมูลค่าการค้าเกือบครึ่งหนึ่งของโลกในปี 2561
นายสี จิ้นผิง ย้ำว่า ชุมชนธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของภูมิภาค
พร้อมกันนี้ เขาแสดงความหวังว่าภาคธุรกิจจะพยายามส่งเสริมการค้า การลงทุน และการพัฒนาอย่างเปิดกว้าง รวมถึงแสวงหาแนวทางสร้างการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม สร้างความร่วมมือระหว่างกัน และช่วยเหลือผู้ที่เสียเปรียบหากจำเป็น เพื่อบรรลุผลสำเร็จในการพัฒนาให้มากที่สุด
ในวันนี้ นายสี จิ้นผิง ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำเศรษฐกิจกลุ่มเอเปค ซึ่งมีการเปิดตัว "วิสัยทัศน์หลังปี 2563" (Post-2020 Vision) อันเป็นเอกสารสำคัญที่ระบุเป้าหมายและแนวทางสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเอเปคในอนาคต