ปักกิ่ง--26 มกราคม 2564--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ท่ามกลางโรคระบาดที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลกและฉุดเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง สถานการณ์โลกในปี 2563 ได้สร้างความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนให้กับคนทั่วโลก และสถานการณ์ยังคงย่ำแย่ลงเนื่องจากมีความท้าทายอื่น ๆ เกิดขึ้นอีก
ความสับสนวุ่นวายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้มีความคล้ายคลึงกับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งในครั้งนั้นนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญเป็นครั้งแรกในการประชุม World Economic Forum (WEF) โดยนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาแบบจีนสู่ประชาคมโลก
ล่าสุด นายสี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อบรรดาผู้นำโลกเกี่ยวกับการควบคุมโรคโควิด-19 ในการประชุมออนไลน์ Davos Agenda ของ WEF เมื่อวันจันทร์ว่า "เราต้องสู้ต่อไป เรามั่นใจว่าฤดูหนาวไม่สามารถหยุดยั้งการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ และความมืดไม่สามารถปกคลุมแสงแห่งรุ่งอรุณ"
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในหัวข้อ "A Crucial Year to Rebuild Trust" ระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม โดยมีจุดมุ่งหมายในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น รวมถึงกำหนดนโยบายและสร้างความร่วมมือที่จำเป็นในปี 2564 โดยผู้นำจากภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคมกว่า 1,500 คน จากกว่า 70 ประเทศและดินแดน ได้มาร่วมกำหนดวาระสำคัญของปี 2564
จีนแสดงความหวังว่า สุนทรพจน์ของนายสี จิ้นผิงในครั้งนี้จะนำไปสู่การบรรลุฉันทามติทั่วโลก ฟื้นฟูความเชื่อมั่นทั่วโลก กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือทั่วโลก และนำไปสู่ทางออกของปัญหาเร่งด่วนที่ประชาคมโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า ความร่วมมือของทั่วโลกคือวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะโรคระบาดและวิกฤตระดับโลกอื่น ๆ โดยทั่วโลกควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือระดับพหุภาคีและสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อมวลมนุษยชาติ พร้อมกับกล่าวย้ำว่าทุกปัญหาระดับโลกไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยประเทศใดประเทศหนึ่ง
"เราควรลงมือทำร่วมกันทั่วโลก ตอบสนองร่วมกันทั่วโลก และร่วมมือกันทั่วโลก" เขากล่าว
ส่งเสริมกลไกการให้คำปรึกษาและการสร้างความร่วมมือทั่วโลก
จีนทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องและสนับสนุนระบบพหุภาคีมาโดยตลอด โดยเป็นผู้สร้างหรือมีส่วนร่วมในเวทีระดับพหุภาคีเสมอมา
จีนได้จัดการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation และงาน China International Import Expo ตลอดจนลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งถือเป็นความตกลงการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ในขณะที่โลกของเรากำลังเผชิญกับภารกิจเร่งด่วนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจยุคหลังเกิดโรคระบาด นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า ขั้นแรกนานาประเทศต้องยกระดับความร่วมมือด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อส่งเสริมให้เศรษกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งและทั่วถึงมากขึ้น โดยใช้การประชุม G20 เป็นปฐมฤกษ์ในการส่งเสริมธรรมาภิบาลทางเศรษฐกิจทั่วโลก
เศรษฐกิจจีนขยายตัว 2.3% ในปี 2563 นับเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่เพียงประเทศเดียวที่เศรษฐกิจเติบโต ในขณะที่เศรษฐกิจโลกได้รับความเสียหายอย่างหนักจากโรคระบาด
หน่วยงานด้านการเงินชั้นนำระดับโลก รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า จีนจะเป็นผู้นำการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก โดยเชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคชาวจีนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2564
นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิง ยังเรียกร้องให้ทั่วโลกหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยใช้ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือระบอบการปกครองเป็นข้ออ้าง โดยทั่วโลกควรยึดมั่นในความร่วมมือบนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนแก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจาและปรึกษาหารือกัน
สนับสนุนให้ทุกประเทศพัฒนาอย่างสมดุล
ในขณะที่โลกกำลังต่อสู้กับโรคระบาด การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนามีทิศทางที่ไม่สอดคล้องกัน โดยประเทศกำลังพัฒนาที่มีทรัพยากรน้อยกว่าและได้รับผลกระทบจากโรคระบาด กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อให้ตามทันประเทศอื่นในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว
นายสี จิ้นผิง เรียกร้องให้ทั่วโลกให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นด้านทรัพยากรและให้เวลาประเทศกำลังพัฒนาได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา อันจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย "เราควรตระหนักว่าการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาจะช่วยให้ความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของโลกมีรากฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้น ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วก็จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนา"
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีของจีนเตือนว่า ทั่วโลกควรยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศและกฎระเบียบระหว่างประเทศ แทนที่จะแสวงหาความยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว "ระบบพหุภาคีคือการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศผ่านการปรึกษาหารือ และทุกคนร่วมมือกันตัดสินอนาคตของโลก"
เขากล่าวเสริมว่า ประชาคมโลกควรปกป้องผลประโยชน์ในการพัฒนาตามกฎหมายของประเทศกำลังพัฒนา โดยการยกระดับความเท่าเทียมด้านสิทธิ โอกาส และกฎระเบียบ ควรเป็นเป้าหมายในระยะยาว เพื่อให้ทุกประเทศได้ประโยชน์จากโอกาสและผลพวงของการพัฒนา
จีนตอกย้ำความร่วมมือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
จีนยังคงสามารถสานต่อพันธกิจของประเทศให้สำเร็จลุล่วงแม้เผชิญกับโรคระบาด ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา จีนได้สร้างประวัติศาสตร์ในการขจัดความยากจนสุดขีด โดยนำพาประชาชนกว่า 800 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของการบรรเทาความยากจนทั่วโลก
สำหรับบทบาทของจีนในศักราชใหม่นี้ นายสี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่าจีนจะร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ เพื่อสร้างโลกที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง สะอาด และสวยงามด้วยสันติภาพอันยั่งยืน ความมั่นคงปลอดภัย และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน นอกจากนี้ เขาให้คำมั่นว่าจีนจะให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการขจัดความยากจน บรรเทาภาระหนี้สิน และผลักดันการเติบโต
ในขณะที่จีนกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนา นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนจะยึดมั่นในหลักการพัฒนาใหม่และส่งเสริมรูปแบบการพัฒนาใหม่ ซึ่งยึดตลาดในประเทศเป็นหลัก และเปิดโอกาสให้ตลาดในประเทศและต่างประเทศส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อปลดปล่อยศักยภาพมากมายของตลาดจีนและอุปสงค์ในประเทศที่มีมหาศาล
"เราหวังว่าความพยายามเหล่านี้จะมอบโอกาสในการสร้างความร่วมมือให้กับประเทศอื่น ๆ ตลอดจนเป็นแรงกระตุ้นการฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก" นายสี จิ้นผิง กล่าว
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่: https://news.cgtn.com/news/2021-01-25/Hand-in-Hand-China-calls-for-multilateralism-to-tackle-global-crises-XjM7KTNXlm/index.html
วิดีโอ: https://www.youtube.com/watch?v=qg6ACnr2P08