ปักกิ่ง--2 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ประเทศจีนประกาศชัยชนะครั้งสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความเจริญรุ่งเรืองในระดับปานกลางทุกประการ หรือที่เรียกว่าสังคม "เสี่ยวคัง" ในภาษาจีน ในระหว่างการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC)
"เราได้ตระหนักถึงเป้าหมายแห่งวาระครบรอบ 100 ปีแรกในการสร้างสังคมที่เจริญรุ่งเรืองในระดับปานกลางทุกประการ" สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวในการชุมนุมครั้งใหญ่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่ง
สี จิ้นผิง ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางด้วยนั้น ให้คำมั่นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นผู้นำพาประชาชนจีนไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นและฟื้นฟูสถาบันชาติ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2464 โดยมีสมาชิกเพียง 50 คนนิด ๆ พรรคได้เติบโตขึ้นเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยสมาชิกมากกว่า 95 ล้านคน
พรรคได้ตั้งเป้าหมายครบรอบ 100 ปีไว้ 2 ประการ ประการแรกคือการสร้างสังคมที่มั่งคั่งในระดับปานกลางทุกประการให้ทันภายในปี 2564 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ประการที่สองคือการสร้างจีนให้เป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ที่ยิ่งใหญ่ในทุกประการให้ทันภายในกลางศตวรรษ เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 100 ปีของสาธารณรัฐประชาชนจีน
จากความอัปยศสู่ "เสี่ยวคัง"
ประธานาธิบดีสีได้กล่าวทบทวนภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของการสร้างพรรคคอมมิวนิสต์จีน และอธิบายบทบาทของพรรคในความพยายามฟื้นฟูประเทศ
หลังสิ้นสุดสงครามฝิ่นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1840 จีนค่อย ๆ กลายเป็นสังคมกึ่งอาณานิคม กึ่งศักดินา แบกไว้ซึ่งคำดูถูุกเหยียดหยามรุนแรง ขณะที่ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า "นับตั้งแต่นั้นมา การฟื้นฟูชาติเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวจีนและชาติจีน"
ปธน. สี เปิดเผยว่า หลังจากความพยายามหลายครั้งในการ "กู้ชาติ" ล้มเหลว พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อประเทศต้องการแนวคิดและองค์กรใหม่อย่างเร่งด่วนเพื่อเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหว
"นับตั้งแต่วันก่อตั้งพรรคเป็นต้นมา พรรคได้ยึดเอาการแสวงหาความสุขมาสู่ประชาชนจีนและและการฟื้นฟูชาติจีนเป็นปณิธานและภารกิจของพรรค" เขากล่าว
ประธานาธิบดีสียังกล่าวสรุปความพยายามและความสำเร็จของพรรคในการเป็นผู้นำการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องและการนำความทันสมัยมาสู่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการปฏิรูปและการเปิดประเทศตั้งแต่ปี 2521 ซึ่งประธานาธิบดีสีกล่าวว่าเป็น "การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่ทำให้จีนเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน"
ประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ค่อนข้างยากจนเมื่อหลายสิบปีก่อน ได้กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากกว่า 100 ล้านล้านหยวน (ราว 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อประชากรสูงกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐ ทำให้สามารถประกาศชัยชนะในการขจัดความยากจนอย่างแท้จริงทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2563 ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีสีได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำเร็จในการสร้างสังคม "เสี่ยวคัง" รวมถึงความสำเร็จอื่น ๆ โดยพรรคและประชาชนสามารถแสดงให้โลกเห็นว่า "การฟื้นฟูชาติของจีนได้กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในประวัติศาสตร์"
พรรคคอมมิวนิสต์จีนและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชน
ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และประชาชน โดยกล่าวว่าพรรค "เป็นตัวแทนของผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของชาวจีนทุกคนเสมอมา"
"ความพยายามใด ๆ ที่จะแบ่งแยกพรรคออกจากชาวจีน หรือทำให้ประชาชนต่อต้านพรรคนั้นย่อมล้มเหลว" เขากล่าวเตือน
ในขณะที่จีนออกเดินทางครั้งใหม่บนเส้นทางสู่ความทันสมัยแบบสังคมนิยม เขาให้คำมั่นว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยังคงปฏิบัติตามปรัชญาการพัฒนาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง จัดการกับความกังวลของประชาชน และส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันเพื่อประชาชนทุกคน
"สำหรับการเดินทางที่รอเราอยู่ข้างหน้านั้น เราต้องพึ่งพาผู้คนอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างประวัติศาสตร์" เขากล่าว
ปรัชญาการพัฒนาที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางได้รับการหยิบยกขึ้นมาโดยประธานาธิบดีสีในระหว่างการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 5 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ในเดือนตุลาคม 2558 ซึ่งเน้นย้ำว่าการพัฒนาของจีนจะต้องทำเพื่อประชาชนและโดยประชาชน และผลที่ได้จะเกิดร่วมกันในหมู่ประชาชน
ปรัชญานี้ถูกเน้นย้ำอีกครั้งในแผนการพัฒนาล่าสุดของจีน นั่นคือร่างแผนห้าปีฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2564 - 2568) สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและวัตถุประสงค์ระยะยาวปี 2578 ซึ่งให้คำมั่นที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของผู้คนด้วยการพัฒนาที่สมดุลและมีคุณภาพสูงขึ้น
ความมุ่งมั่นของจีนในการพัฒนาอย่างสันติ
ประธานาธิบดีสียังได้อธิบายหลักการสำคัญของนโยบายต่างประเทศและวิสัยทัศน์ของจีนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยย้ำถึงการเรียกร้องให้สร้างชุมชนแห่งอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศในด้านสันติภาพ
"จีนไม่ได้เป็นชาติที่ก้าวร้าวหรือกดขี่" ประธานาธิบดีสีกล่าว "จีนทำงานเพื่อปกป้องสันติภาพของโลก มีส่วนร่วมในการพัฒนาโลก และรักษาระเบียบระหว่างประเทศมาโดยตลอด"
จีนจะยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาอย่างสันติเพื่อ "ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ผ่านความพยายามร่วมกัน และใช้ความสำเร็จใหม่ของจีนในการพัฒนาเพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ แก่โลก" เขากล่าวเสริม
โครงการ BRI ซึ่งนำเสนอโดยประธานาธิบดีสีในปี 2556 ประกอบด้วยแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 มีเป้าหมายเพื่อสร้างเครือข่ายการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อเอเชียกับยุโรปและแอฟริกาตลอดเส้นทางสายไหมโบราณและอื่น ๆ
ประเทศและภูมิภาคทั้งสิ้น 140 แห่งได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับจีนภายใต้โครงการ BRI ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการค้ารวมระหว่างจีนและพันธมิตรความร่วมมือ BRI มีมูลค่ามากกว่า 9.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัทของจีนได้เข้าไปลงทุนโดยตรงรวมมูลค่ามากกว่า 1.30 แสนล้านเหรียญสหรัฐในประเทศต่าง ๆ ตามเส้นทางในโครงการ
ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า จีนจะยังคงสนับสนุนความร่วมมือในการเผชิญหน้าและต่อต้านอำนาจอธิปไตยและการเมืองแห่งอำนาจ
ชาวจีนมีความภาคภูมิใจและความมั่นใจอย่างแรงกล้า และจะไม่ถูกข่มขู่โดยคำขู่ที่ใช้กำลัง เขากล่าว
"เราไม่เคยกลั่นแกล้ง กดขี่ หรือข่มเหงประชาชนในประเทศใด ๆ และเราจะไม่ทำเช่นนั้น" เขากล่าว "ในทำนองเดียวกัน เราจะไม่ยอมให้ชาติใดก็ตามมากลั่นแกล้ง กดขี่ หรือข่มเหงเรา"
ประธานาธิบดีสีย้ำจุดยืนของพรรคต่อฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ว่า "เราจะทำให้แน่ใจว่ารัฐบาลกลางจะใช้อำนาจโดยรวมเหนือฮ่องกงและมาเก๊า และใช้ระบบกฎหมายและกลไกข้อบังคับในเขตปกครองพิเศษ 2 แห่งนี้เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ" เขากล่าว
เขาอธิบายว่า การแก้ปัญหาไต้หวันและตระหนักถึงการรวมชาติอย่างสมบูรณ์แบบของจีนเป็น "ภารกิจทางประวัติศาสตร์และความมุ่งมั่นที่ไม่สั่นคลอน" ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อเอาชนะความพยายามใด ๆ ในการสนับสนุน "เอกราชไต้หวัน"
