ปักกิ่ง--23 กันยายน 2564--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
หลังจากปฏิญาณว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดภายในปี 2573 ก่อนที่จะลดลงจนบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2603 จีนก็ได้ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้งในการพัฒนาสีเขียว
จีนจะสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในการส่งเสริมพลังงานสีเขียวและคาร์บอนต่ำ และจะไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขึ้นใหม่ในต่างประเทศนับจากนี้ไป ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศระหว่างการอภิปรายทั่วไปในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ 76 ผ่านทางวิดีโอคอลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
การประกาศครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้จีนได้ร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อทำให้โครงการดังกล่าวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โครงการพัฒนาระดับโลก
การลดและเลิกลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นทิศทางที่ดีในการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติภายในปี 2573 โดยเฉพาะข้อที่ 13 เกี่ยวกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
นอกเหนือจากการลดโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว จีนยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มเงินช่วยเหลือ 3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามปีต่อจากนี้เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือกับโควิด-19 ตลอดจนส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
"การพัฒนาเป็นหัวใจหลักของความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน" นายสี จิ้นผิง กล่าว พร้อมเสริมว่าประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโลกไปสู่การเติบโตขั้นใหม่ที่มีความสมดุล สอดประสานกัน และให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม
จีนย้ำว่ายินดีที่จะทำงานร่วมกับประชาคมโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันยกระดับธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
ยกตัวอย่างเช่น จีนได้จัดตั้ง Belt and Road Initiative International Green Development Coalition เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาสีเขียวภายใต้โครงการ BRI โดยจีนได้จัดฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้เชี่ยวชาญ และช่างเทคนิคจากกว่า 120 ประเทศ มากกว่า 2,000 ครั้ง
รัฐบาลจีนยึดมั่นในการพัฒนาสีเขียวภายใต้รัฐธรรมนูญและแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ โดยถือว่าเป็นอารยธรรมเชิงนิเวศวิทยาที่รวมอยู่ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนวาระทางการเมืองทั้งหมดของประเทศ
การเอาชนะโควิด-19 ยังคงเป็นภารกิจสำคัญ
แม้ว่าหลายประเทศกำลังพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤตโรคระบาด แต่โควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดทั่วโลก โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยืนกรานว่าต้องให้ความสำคัญกับคนและชีวิตคนก่อนเป็นอันดับแรก รวมถึงต้องใช้แนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสืบหาต้นตอของโรค ยกระดับความร่วมมือเพื่อตอบสนองต่อโควิด-19 ในระดับโลก และลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อข้ามประเทศ
นายสี จิ้นผิง ชี้ว่าวัคซีนเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการรับมือกับโควิด-19 และย้ำว่าสิ่งสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้คือการกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงทั่วโลก
จีนได้ให้คำมั่นบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 2 พันล้านโดสให้ทั่วโลกภายในปีนี้ รวมถึงบริจาควัคซีนอีก 100 ล้านโดสให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา และบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้โครงการ COVAX
ความร่วมมือพหุภาคีเป็นสิ่งจำเป็น
ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อมของโลกหรือการเอาชนะโควิด-19 ความร่วมมือพหุภาคีก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้นำจีนกล่าวถึงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
"สหประชาชาติควรเน้นย้ำความร่วมมือพหุภาคีที่แท้จริงและทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสำหรับประเทศต่าง ๆ ในการร่วมกันปกป้องความมั่นคงสากล แบ่งปันความสำเร็จในการพัฒนา และกำหนดทิศทางในอนาคตของโลก" นายสี จิ้นผิง กล่าว
ประธานาธิบดีจีนได้เรียกร้องให้สหประชาชาติเพิ่มบทบาทและการมีสิทธิ์มีเสียงของประเทศกำลังพัฒนาในกิจการระหว่างประเทศ รวมถึงเป็นผู้นำในการยกระดับประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จีนคือผู้สนับสนุนความร่วมมือพหุภาคีอย่างแข็งแกร่ง
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เรียกร้องให้มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรูปแบบใหม่บนหลักของการเคารพซึ่งกันและกัน ความเสมอภาค ความยุติธรรม และความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โดยเน้นย้ำว่าการแบ่งพรรคแบ่งพวกและมีเพียงผู้ชนะที่ได้ประโยชน์ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรต่อต้าน
"ความสำเร็จของประเทศหนึ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงความล้มเหลวของประเทศอื่น โลกนี้ใหญ่พอที่จะรองรับการพัฒนาและความก้าวหน้าร่วมกันของทุกประเทศ" นายสี จิ้นผิง กล่าว พร้อมกับเสริมว่าความแตกต่างและปัญหาระหว่างประเทศจำเป็นต้องมีการรับมือด้วยการพูดคุยและการร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและการเคารพซึ่งกันและกัน
ในฐานะประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมถึงผู้สนับสนุนงบประมาณประจำและผู้สนับสนุนปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง จีนได้ให้การสนับสนุนการทำงานของสหประชาชาติอย่างแข็งขันมาโดยตลอด ทั้งยังปกป้องระบบระหว่างประเทศอย่างแน่วแน่ และยึดมั่นในความร่วมมือพหุภาคีด้วยการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
นับตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 จีนได้จัดการประชุมระหว่างประเทศครั้งสำคัญหลายครั้ง รวมถึงการประชุมสุดยอด G20 ที่หางโจว, การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 22, การประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ, การประชุมสุดยอดปักกิ่งว่าด้วยความร่วมมือจีน-แอฟริกา ปี 2561, มหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน และการประชุมเสวนาว่าด้วยอารยธรรมเอเชีย