แผนภูมิรายงานผลกระทบปี 2565 ของ RSPO สานต่อความพยายามด้านความยั่งยืนของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปรับปรุงวิถีชีวิตของเกษตรกรรายย่อย และยุติการเอารัดเอาเปรียบคนงาน
กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย--30 พฤศจิกายน 2565--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วโลกจากอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มรวมตัวกันเพื่อร่วมงาน RSPO Annual Roundtable on Sustainable Palm Oil (RT2022) ซึ่งเป็นการประชุมแบบพบหน้ากันครั้งแรกที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 โดยหัวใจหลักของงานอยู่ภายใต้หัวข้อ "การขยายห่วงโซ่คุณค่าน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนผ่านการดำเนินการร่วมกัน" งาน RT2022 ดึงดูดผู้เข้าร่วมเกือบพันคนที่เป็นตัวแทนของภาคส่วนสำคัญในห่วงโซ่มูลค่าน้ำมันปาล์ม เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงานที่สำคัญ และความก้าวหน้าเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
RSPO Certification grows from three countries in 2008 to 21 in 2021, representing 4.5 million hectares of sustainable oil palm plantations
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์โต๊ะกลมครั้งแรกนั้น Joseph D'Cruz ซีอีโอคนใหม่ ได้เปิดตัวรายงานผลกระทบประจำปี 2565 โดยเน้นย้ำถึงความก้าวหน้าที่น่าประทับใจของสมาชิก RSPO ในตัวชี้วัดความยั่งยืนที่หลากหลาย รายงานฉบับใหม่นำเสนอกรอบผลกระทบของ RSPO ใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ซึ่งประมวลเป็นชุดของผลกระทบเจ็ดประเด็น ได้แก่ การเคารพสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการรวมตัวของเกษตรกรรายย่อย การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การป้องกันอัคคีภัย การจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรับรองขั้นสูง และการยกระดับตลาด
รายงานผลกระทบเปิดเผยความสำเร็จที่สำคัญหลายประการในช่วงเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้ง RSPO รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการรับรองทั่วโลกจาก 125,000 เฮกตาร์ (781,250 ไร่) ในสามประเทศในปี 2551 เป็น 4.5 ล้านเฮกตาร์ (28.125 ล้านไร่) กระจายอยู่ใน 21 ประเทศ ซึ่งพื้นที่ 301,020 เฮกตาร์ (1,881,375 ไร่) ได้รับการอนุรักษ์และคุ้มครองผ่านการรับรองจาก RSPO ประเด็นว่าด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน พนักงานประมาณครึ่งล้านคนในนิคมอุตสาหกรรมและโรงสกัดทั่วโลกได้รับการรับรองภายใต้หลักการและหลักเกณฑ์ของ RSPO (P&C) ประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการป้องกันตั้งแต่ปี 2558 สามารถลดลงได้เทียบเท่ากับรถยนต์เกือบ 400,000 คันที่ขับต่อปี นอกจากนี้ ในประเด็นกลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่มีเกษตรกรเกือบ 5,000 รายในเซียร์ราลีโอนได้รับการรับรองเป็นกลุ่มเกษตรกรรายย่อยอิสระรายแรกในแอฟริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวหน้าของการผลิตน้ำมันปาล์ม
ในคำกล่าวต้อนรับ D'Cruz กล่าวว่า "ความยั่งยืน คือ การเดินทาง และร่วมกับทีมงานของผมและสมาชิกทุกคน RSPO จะยังคงเดินหน้าสร้างเส้นทางให้กับภาคส่วนปาล์มน้ำมัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการผลิตและการใช้ปาล์มมีความสำคัญอย่างไรต่อการสนับสนุนพันธสัญญาสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทของการผลิตปาล์มเพื่อชีวิตที่ดีและมีเกียรติแก่ครอบครัวในชนบทหลายล้านครอบครัวในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแสดงให้เห็นว่าสวนปาล์มน้ำมันที่ได้รับการจัดการและมีการฟื้นฟูปรับปรุงเป็นอย่างดีสามารถมีส่วนสำคัญในการอนุรักษ์สายพันธุ์และความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างไร"
แอนน์ โรเซนบาร์เกอร์ (Anne Rosenbarger) และ ดาโต๊ะ คาร์ล เบ๊ค เนลสัน (Dato' Carl Bek-Nielsen) ประธานร่วมของคณะกรรมการนโยบาย RSPO (RSPO Board of Governors) ร่วมกันเรียกร้องให้มีการตอบสนองอย่างเป็นเอกภาพเพื่อเพิ่มศักยภาพของภาคส่วนในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่คุณค่าน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนไว้ว่า "ในช่วงเวลาที่ประชาคมโลกกำลังต้องการวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและปฏิบัติได้เพื่อช่วยโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ประวัติการทำงานของ RSPO แสดงให้เห็นว่าเรากำลังสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริงให้กับโลกและผู้คน ความมุ่งมั่นของสมาชิก RSPO ต่อความรับผิดชอบร่วมกันนำมาซึ่งการดำเนินการร่วมกัน ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดในห่วงโซ่คุณค่า"
สมาชิกสะท้อนให้เห็นว่า RSPO ต้องเรียกร้องความสนใจจากตลาดผู้บริโภคที่มีความสำคัญ เช่น จีน อินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ให้เลือกใช้น้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน และเข้าร่วมการริเริ่มร่วมกันเพื่อให้ RSPO มีผล เปลี่ยนแปลงต่ออุปสงค์และอุปทานน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนทั่วโลก
เกี่ยวกับ RSPO
Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) ก่อตั้งขึ้นในปี 2547 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการใช้ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนผ่านมาตรฐานระดับโลกที่น่าเชื่อถือและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย RSPO เป็นองค์กรสมาชิกระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่รวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วนต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ได้แก่ ผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน ผู้แปรรูปหรือผู้ค้าน้ำมันปาล์ม ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค ผู้ค้าปลีก ธนาคาร และนักลงทุน องค์กรพัฒนาเอกชนด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ และองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อสังคมหรือการพัฒนา
การเป็นตัวแทนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายส่วนนี้ สะท้อนให้เห็นในโครงสร้างการกำกับดูแลของ RSPO ซึ่งที่นั่งในคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการขับเคลื่อน และคณะทำงานได้รับการจัดสรรอย่างเป็นธรรม ให้กับแต่ละภาคส่วน ด้วยวิธีนี้ RSPO ปฏิบัติตามหลักปรัชญาของ "โต๊ะกลม" โดยให้สิทธิเท่าเทียมกันแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละกลุ่ม อำนวยความสะดวกแก่ผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นปฏิปักษ์ตามประเพณีดั้งเดิมในการทำงานร่วมกัน เพื่อบรรลุการตัดสินใจโดยฉันทามติ และบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกันของ RSPO ในการสร้างบรรทัดฐานของน้ำมัน ปาล์มที่ยั่งยืน
RSPO จดทะเบียนที่ตั้งองค์กรที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่สำนักงานเลขาธิการประจำอยู่ที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีสำนักงานในกรุงจาการ์ตา ลอนดอน ซูเธอร์เมียร์-เนเธอร์แลนด์ ปักกิ่ง โบโกตา-โคลัมเบีย และนิวยอร์ก